AOT นัดหารือ คิงเพาเวอรบ่ายวันนี้! เตรียมรื้อสัญญา'ดิวตี้ฟรี'

วันนี้, 07:44น.


          น.ส.ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) รักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เปิดเผยว่า บ่ายวันนี้ (17 มิ.ย. 2568) AOT ได้นัดหารือกับผู้บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ เนื่องจากที่ผ่านมา AOT สื่อสารกับคิง เพาเวอร์ ผ่านหนังสือเท่านั้น จึงอยากให้มีการหารือเพื่อชี้แจงการตีความในหนังสือให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ซึ่งคิง เพาเวอร์ ได้ตอบรับการนัดหารือแล้ว



          ส่วนผลการประชุมคณะกรรมการ AOT ที่มีนายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวง เป็นประธาน วานนี้ (16 มิ.ย. 2568) ได้เร่งรัดให้ AOT แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT และจ้างที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ เพื่อศึกษาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT โดยเร็ว

          โดยที่ปรึกษาจะศึกษาประเด็นด้านกฎหมาย เศรษฐศาสตร์การเงิน และการบริหารธุรกิจ เพื่อวิเคราะห์ข้อจำกัดของสัญญาเดิม รวมถึงเสนอแนวทางที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายให้ได้ข้อสรุปภายใน 60 วันก่อนเสนอต่อคณะกรรมการ AOT เพื่อพิจารณาต่อไป หลังจากที่บริษัทคิง เพาเวอร์ จำกัด (KPD) ได้นำส่งหนังสือมายัง AOT ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม 2568 เพื่อขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) 3 สัญญา

          ประกอบด้วย 1) สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าดิวตี้ฟรี ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ 2) สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าดิวตี้ฟรีท่าอากาศยานดอนเมือง 3) สัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าดิวตี้ฟรี ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยรายได้รวมจากคิง เพาเวอร์ มีสัดส่วนที่ 17% ของรายได้รวมของ AOT ซึ่งในปี 2567 AOT มีรายได้รวมที่ 67,827.79 ล้านบาท



          สำหรับคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกฯ นั้นจะมีนายศิโรตม์ ดวงรัตน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด) เป็นประธาน ส่วนการจัดหาที่ปรึกษานั้น AOT จะจัดหามาอย่างน้อย 2 ราย ด้วยวิธีการจัดซื้อจัดจ้างของ AOT โดยคาดว่าจะได้ผู้รับงานภายใน 2 สัปดาห์จากนี้ ซึ่งจะเป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาชั้นนำของรัฐ เพื่อมาทำหน้าที่ศึกษาวิเคราะห์ทางเลือกแก่ AOT พร้อมระบุข้อดีข้อเสียใน 3 แนวทาง คือ 1. เจรจาปรับแก้สัญญา 2. คงสัญญาเดิม และ 3. ยกเลิกสัญญา และเปิดประกวดราคาใหม่ โดย AOT จะเริ่มที่การเจรจาก่อน

          ทั้งนี้เมื่อที่ปรึกษาได้ผลสรุปศึกษาแล้วจะรายงานมายังคณะทำงานพิจารณากลั่นกรองทางเลือกฯ เพื่อพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสม จากนั้นจะเสนอให้คณะกรรมการ AOT พิจารณา โดยในแต่ละสัญญานั้นจะมีแนวทางการแก้ปัญหาที่แตกต่างกันตามความเหมาะสมของสัญญานั้น ๆ มิได้ใช้แนวทางเดียวกันทั้งหมดในทุกสัญญา

          อย่างไรก็ตาม หากสุดท้ายแล้วการเจรจาไม่สามารถได้ข้อยุติร่วมกัน จนต้องนำไปสู่การยกเลิกสัญญานั้น ทาง AOT ก็จะต้องยึด Bank Guarantee จากคิง เพาเวอร์ ในทุกสัญญาที่ยกเลิก ซึ่งครอบคลุมรายได้ที่ AOT จะต้องได้รับจากคิง เพาเวอร์ ตามสัญญา จึงยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อสถานะของ AOT

          ส่วนกรณีการเปิดประกวดราคาใหม่นั้นจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และยอมรับว่าผลประโยชน์ตอบแทนอาจไม่สูงเท่ากับที่คิง เพาเวอร์เสนอแก่ AOT เพราะตามสัญญาเดิมที่ AOT ทำกับคิง เพาเวอร์นั้น ในปี 2568 ผู้โดยสารระหว่างประเทศที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะต้องอยู่ที่ 70 ล้านคนแล้ว แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 48 ล้านคนเท่านั้น



          ทั้งนี้ รายได้ของ AOT ประมาณ 33% (1,000 ล้านบาท) มาจากสัญญาเช่าของคิง เพาเวอร์ ในจำนวนนี้ราว 10-20% มาจากพื้นที่ที่คิง เพาเวอร์ขอคืนการเช่า ส่วนที่เหลือ 70-80% มาจากการเช่าพื้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ แม้ว่ารายได้ที่หายไปจะไม่มาก แต่หากรายได้หายไป ก็จะทำให้รัฐเสียประโยชน์ไปด้วย อย่างไรก็ดี เชื่อว่าหากมีการยกเลิกสัญญาแล้ว ทาง AOT ก็จะต้องจัดหาผู้เช่าพื้นที่รายใหม่ต่อไป



 

ข่าวทั้งหมด

X