นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทย เดือนพฤษภาคม 2568 ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดต่ำสุดในรอบ 2 ปี และเป็นการปรับตัวลดลงในทุกรายการ สะท้อนว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เป็นขาลงแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่มีทิศทางที่สดใส และมีโอกาสที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้ง่ายขึ้น
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงทุกรายการ ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เพราะผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นในอนาคตลดลง หากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ก็จะมีผลต่อการเติบโตและการขยายตัวเศรษฐกิจของประเทศ แต่ทั้งนี้หอการค้าไทยยังคงประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 2568 ขยายตัวอยู่ในกรอบ 1.5-2%”
มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ โดยเฉพาะใกล้จะครบกำหนด 90 วันในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 นี้ โดยในหลายประเทศยังอยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งยังไม่มีประเทศไหนที่เจรจาสำเร็จ หอการค้าไทยได้มีการประเมินเบื้องต้นความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจไทย มูลค่าที่จะทำให้เม็ดเงินหายไปนั้นอยู่ประมาณ 1.5-2 แสนล้านบาท ซึ่งยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะยอมรับว่ามีผลต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมไปถึงภาคเอกชน เพราะอาจจะกระทบทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยโอกาสต่ำกว่า 1% ได้
สิ่งที่ภาครัฐจะต้องเร่งดำเนินการคือ การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะงบฯ 1.57 แสนล้านบาท จะต้องมีการออกมาตรการมาให้ได้โดยเร็ว รวมไปถึงมาตรการทางการเงินให้มีการผ่อนปรนมากขึ้น มีการลดดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างหนี้ เร่งกระตุ้นการท่องเที่ยว
โดยตั้งเป้าหมายให้มีนักท่องเที่ยวเข้ามาในประเทศ 35 ล้านคน พร้อมทั้งเร่งให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สามารถดำเนินการมาตรฐานกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยหากสามารถดำเนินการได้ก็จะเชื่อว่ายังสามารถทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวอยู่ในกรอบได้
ด้านนายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือนพฤษภาคม 2568 ปรับตัวลดลงจากระดับ 55.4 เป็น 54.2 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 27 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมา
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
ขณะที่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 39.8 เป็น 38.8 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวลดลงจากระดับ 62.9 มาอยู่ที่ระดับ 61.7 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แสดงว่าผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นลดลงได้ในอนาคต หากสงครามการค้ารุนแรงขึ้น และเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ 48.1 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางานอยู่ที่ 51.9 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 62.7 ซึ่งดัชนีทุกตัวปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 เช่นกัน