การเจรจาการค้าระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐกำลังเริ่มต้นขึ้นล่าสุดสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ วอชิงตัน ได้แจ้งเข้ามาว่า สหรัฐพร้อมที่จะ “นัดหมาย” เพื่อเริ่มวันเจรจาการค้ากับคณะผู้แทนไทย ซึ่งมี นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเจรจา ขณะที่บุคคลฝ่ายสหรัฐที่จะเปิดการเจรจากับผู้แทนไทยจะมาจาก 3 หน่วยงานด้วยกันคือ Jamieson Greer ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR), Scott Bessant รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ Haward Lutnick รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไทยจะสามารถนัดหมายการเจรจากับใครได้ก่อน
การเจรจาการค้าที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้นอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงที่ว่า ในปี 2567 ทั้ง 2 ประเทศมีมูลค่าการค้ารวม 74,484 ล้านเหรียญ โดยไทยส่งออกไปสหรัฐคิดเป็นมูลค่า 54,956 ล้านเหรียญ และนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ 19,528 ล้านเหรียญ ส่งผลให้ไทยเป็นฝ่าย “เกินดุล” การค้าสหรัฐอยู่ 35,427 ล้านเหรียญ โดยการที่ไทยเป็นประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นปีแรก แต่เป็นการได้ดุลการค้าสหรัฐติดต่อกันมาเป็นเวลาหลายปี
ประกอบกับ “ทรัมป์” ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ได้นำนโยบาย American First กลับมาใช้อีกครั้ง ด้วยการตั้งเป้าที่จะลดการขาดดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าลง ดึงอุตสาหกรรมสำคัญกลับเข้ามาตั้งที่สหรัฐเพื่อเพิ่มการจ้างงาน จนเป็นที่มาของการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ดังกล่าว
ไทยมีรายชื่อติดอยู่ในบัญชีประเทศที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้เป็นอันดับที่ 20 จาก 185 ประเทศทั่วโลก รัฐบาลได้ตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐขึ้นมา 1 ชุด เพื่อวางกรอบการเจรจากับสหรัฐ ประกอบไปด้วยการเจรจาใน 5 เสาหลัก ซึ่งผ่านความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีแล้ว ได้แก่
กรอบการเจรจาอย่างเป็นทางการในมุมมองของประเทศไทยได้พยายาม “ออกแบบ” ให้เจรจาในฐานะ “หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ” ที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะมีทั้งได้และเสียประโยชน์ทางการค้า มิใช่ประเทศไทยเป็นฝ่ายเสียประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยข้อเสนอแบบนี้มีเพียงเสียงตอบรับจาก Scott Bessant รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของผู้ที่ถูกกำหนดตัวในฐานะผู้บริหารระดับหน่วยงานที่จะเปิดการเจรจากับคณะผู้แทนไทยที่ว่า “เป็นข้อเสนอที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิผล” เป็นการริเริ่มข้อเสนอที่น่าประทับใจ ขณะที่ฝ่ายไทยมีการตีความว่า “เป็นสัญญาณบวก