นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ เปิดเผย ภาวะสังคมไทยไตรมาส 1 ปี 2568 ว่า อัตราการว่างงานในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 0.88% ลดลงจาก 1.01% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นจำนวนผู้ว่างงานประมาณ 360,000 คน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมปลายและระดับอุดมศึกษา ที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำ
ทั้งนี้จากผลสำรวจผู้บริหารด้านทรัพยากรบุคคล ในสหรัฐอเมริกา ของ Hult International Business School ร่วมกับ Workplace Intelligence พบว่า กลุ่ม “เด็กจบใหม่” ยังคงเป็น กลุ่มที่เผชิญความเสี่ยงด้านการจ้างงานมากที่สุด โดย ผู้บริหารกว่า 89% มีแนวโน้มที่จะเลี่ยงการจ้างงานกลุ่มเด็กจบใหม่ เนื่องจาก
เด็กจบใหม่ยังขาดประสบการณ์ ในโลกแห่งความเป็นจริง 60%
ไม่มีทักษะที่เหมาะสม 51%
ขาดทักษะการทำงานเป็นทีม 55%
มีมารยาททางธุรกิจที่ไม่ดีนัก 50%
โดยนายจ้างเลือกที่จะจ้างฟรีแลนซ์หรือพนักงานที่เกษียณไปแล้วทดแทน หรือปล่อยให้ตำแหน่งว่าง สอดคล้องกับมุมมองของผู้ประกอบการไทย จากข้อมูลการวิเคราะห์ประกาศรับสมัครงาน ออนไลน์ของ TDRI ที่พบว่า มีตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัครเพียง 22.3% ที่ไม่ต้องการประสบการณ์ทำงานจากผู้สมัคร
สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับการมีทักษะและความเข้าใจในการทำงานจริง สอดคล้อง กับอัตราการว่างงานในแรงงานกลุ่มอายุน้อยและแรงงานที่จบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับ กลุ่มอื่น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีคุณสมบัติที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน แรงงานจบใหม่ จึงควรเตรียมความพร้อมตนเองให้เหมาะสม ทั้งในด้านทักษะที่จำเป็นต่อสายงานและทัศนคติต่อโลกการทำงาน
ขณะที่ภาคการศึกษาต้องเร่งปรับการเรียนการสอนให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด รวมถึงส่งเสริมการฝึกงาน เพื่อสร้างประสบการณ์ทำงานจริงให้แก่นักศึกษา
สำหรับสถานการณ์แรงงานไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 พบว่ามีผู้มีงานทำรวมทั้งสิ้น 39.4 ล้านคน ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าการจ้างงานในภาคเกษตรจะทรงตัว แต่แรงงานในภาคนอกเกษตร โดยเฉพาะในสาขาการผลิต โรงแรม ร้านอาหาร และค้าปลีก มีแนวโน้มลดลง
แม้ภาคการท่องเที่ยวจะมีสัญญาณฟื้นตัว แต่การจ้างงานในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยว เช่น โรงแรมและร้านอาหาร ยังคงหดตัว โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 40.8 ชั่วโมง จากไตรมาสก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน จำนวนแรงงานที่อยู่ในภาวะการทำงานต่ำกว่าศักยภาพ (Underemployment) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในภาคการค้าและบริการ สะท้อนถึงผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อกลุ่มธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อย่างชัดเจน โดยในช่วงที่ผ่านมา มี SMEs ปิดกิจการกว่า 24,000 แห่ง และโรงงานอีก 1,234 แห่ง ต้องหยุดดำเนินงาน ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจ้างงาน
ทั้งนี้ภาครัฐจึงได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับตัวของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการจ้างงานสูง อาทิ SMEs พร้อมทั้งเร่งส่งเสริมการยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงการพัฒนาทักษะแรงงาน เพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีการขับเคลื่อนนโยบายการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อเตรียมความพร้อมให้แรงงานรุ่นใหม่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
#อัตรการว่างงาน
#แรงงานwmp
Cr:สภาพัฒน์