ผู้ว่าธปท.ชี้สงครามการค้าสหรัฐยังไม่แน่นอน เชื่อไทยผ่านวิกฤตนี้ได้ ห่วงSMEs กระทบหนัก

04 มิถุนายน 2568, 06:49น.


           สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า สำนักข่าวนิกเกอิของญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.เปิดเผยบทสัมภาษณ์ นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ถึงกรณี การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการทะลักของสินค้าที่เข้ามาประเทศไทย อาจสร้างความเสียหายรุนแรงต่อภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ของไทย ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจใหญ่อันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอาจทิ้งผลกระทบที่บาดลึกเอาไว้



          นายเศรษฐพุฒิกล่าวถึงผลที่สะท้อนมาถึงเอเชียด้วย เนื่องจากมาตรการภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้นำมาใช้เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่แท้จริง หลังจากที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดการเงินมาตลอดสองเดือน



          สำหรับประเทศไทย จะเริ่มเห็นผลกระทบของภาษี แสดงผลในไตรมาสที่ 3 และ 4  ซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับการเจรจาและผลลัพธ์ของการเจรจา ทั้งนี้ได้ประมาณการอัตราการเติบโตระยะยาวของเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงสูงกว่าร้อยละ 2



          ย้อนไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน ธปท. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย โดยคาดการณ์ผลลัพธ์ที่เป็นไปในทางดีที่สุดคือการเติบโตร้อยละ 2 ในปีนี้ และอีกสถานการณ์คือแย่ที่สุดเศรษฐกิจไทยจะเติบโตเพียง ร้อยละ 1.3 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) ที่คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโต ร้อยละ 1.3-2.3 โดยมีค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ในปี 2568



          นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า จากการคาดการณ์ล่าสุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะโตต่ำกว่าศักยภาพการเติบโต เนื่องจากผลกระทบจากภาษีเป็นอุปสรรการต่อการส่งออกของไทย ซึ่งส่งออกคิดเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)



          อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเป็นประเทศที่ขับเคลื่อนด้วยภาคการธนาคารมากกว่าตลาด และผลกระทบจากภาษีต่อตลาดการเงินของไทยนั้นมีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอย่างสหรัฐ เงินบาทที่อ่อนค่าลงมักจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ส่งออกในประเทศไทย แม้ว่าคำกล่าวนี้จะเป็นจริง แต่เราไม่มีเป้าหมายหรือระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ในใจ เราตระหนักดีถึงอันตรายและความเสี่ยงของการพยายามทำมากเกินไปเกี่ยวกับระดับอัตราแลกเปลี่ยน



          นายเศรษฐพุฒิ กล่าวเปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันกับวิกฤตการณ์ครั้งก่อนๆ ว่า ไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายเกินไปเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบัน เนื่องจากประเทศไทยยังมีภาคบริการ ซึ่งคาดว่าจะยังคงอยู่รอดได้แม้จะมีภาษีของทรัมป์ และอาจมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเศรษฐกิจไทย



           “พายุครั้งนี้ไม่เลวร้ายเท่าครั้งที่เราเคยผ่านมา” นายเศรษฐพุฒิกล่าว โดยอ้างถึงช่วงที่ GDP ไทยหดตัวร้อยละ 7.6 ในปี 1997 และเมื่อเศรษฐกิจหดตัวร้อยละ 6.1 ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 การคาดการณ์การเติบโตที่ ร้อยละ1.3 ถึง 2.0 ในปีนี้ ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่มืดมนเหล่านั้น เราจะผ่านพ้นพายุลูกนี้ไปได้ เพราะเราเคยผ่านสิ่งที่เลวร้ายกว่ามาแล้ว และเราก็ผ่านมันมาได้”



          นายเศรษฐพุฒิ เผยว่า คาดว่าต้องใช้เวลาสักระยะในการแก้ไขปัญหาภาษีของนายทรัมป์ โดยจะขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะจัดการกับการเจรจากับสหรัฐฯ อย่างไร



         เมื่อถามว่าปัญหาการค้าจะยืดเยื้อนานเท่าไร นายเศรษฐพุฒิตอบว่าไม่คิดว่ามีใครรู้จริงๆ ตราบใดที่แรงกดดันจากภาษียังคงอยู่



          นายเศรษฐพุฒิยังแนะนำให้ประเทศยืนหยัดในการปรับโครงสร้าง โดยเฉพาะปัญหาหนี้สิน เพื่อให้ประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้นในยามวิกฤต แทนที่จะหันไปใช้วิธีการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นธุรกิจอยู่เสม



          ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวและกล่าวอีกว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งทำให้ธนาคารต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดในการให้สินเชื่อ ซึ่งนำไปสู่การลดลงของอำนาจซื้อสินค้าคงทน โดยเฉพาะรถยนต์ โดยยอดขายรถยนต์ปี 2024 ลดลงร้อยละ26



          โดยหนี้ครัวเรือนของไทยพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ ร้อยละ95.5 ในปี 2021 เมื่อประเทศไทยยังคงต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ธปท. ได้ดำเนินมาตรการลดหนี้ครัวเรือนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และส่งผลให้สามารถลดหนี้ลงเหลือ ร้อยละ88.4 ของ GDP ณ สิ้นปี 2024



          สำหรับไทยสิ่งที่น่าเป็นห่วงเป็นพิเศษคือ ผู้ประกอบการรายย่อยหรือเอสเอ็มอีที่จะได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่ทะลักเข้ามา เพราะเป็นหมวดสินค้าที่มีอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีจำนวนมาก และเปราะบางกว่ามาก และมีสัดส่วนการจ้างงานที่ค่อนข้างมาก



          สำหรับ ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กว้างขวางเช่นนี้ทำให้ธนาคารกลางคาดการณ์เศรษฐกิจได้ยาก ซึ่งกระตุ้นให้ ธปท. ต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน คือการประมาณการณ์ไว้สองสถานการณ์ ส่วน ธปท. ได้ดำเนินการเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วสองครั้งในปีนี้ โดยอัตราปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 1.75



#เศรษฐกิจไทย 



CR:สำนักข่าวอิศรา 



 

ข่าวทั้งหมด

X