จริยธรรม-จรรยาบรรณ! แพทยสภานัดประชุม 12 มิ.ย. นี้ จับตามพิจารณาวาระวีโต้ ของรมว.สธ.หรือไม่

30 พฤษภาคม 2568, 12:13น.


          หลังจากนายสมศักดิ์ เทพุสุทิน รมว.สาธารณสุข ในฐานะสภานายกพิเศษ ได้ทำหนังสือวีโต้ มติแพทยสภาที่ลงโทษแพทย์ 3 คน ที่เกี่ยวข้องกับการส่งตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากรพ.ราชทัณฑ์ ไปรักษาตัวที่รพ.ตำรวจ โดยนายสมศักดิ์ได้ส่งหนังสือวีโต้ถึงมือแพทยสภาไปแล้วเมื่อวันที่ 28 พ.ค.  หลังจากนี้ทางแพทยสภาต้องนำเรื่องดังกล่าวส่งเข้าที่ประชุมกรรมการแพทยสภา (บอร์ดแพทยสภา) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 12 มิ.ย.2568 พล.อ.อ.อิทธิพร คณะเจริญ เลขาธิการแพทยสภา ได้ระบุว่า การประชุมในวันที่ 12 มิ.ย. นี้ มีกรรมการจากการเลือกตั้ง 35 คน ตอบรับเข้าประชุม ด้วยตนเอง 35 คน ส่วนกรรมการโดยตำแหน่ง 35 คน อยู่ระหว่างการตอบรับเข้าประชุม ส่วนอนุกรรมการบริหาร ทั้งจากกรรมการเลือกตั้งและกรรมการโดยตำแหน่ง เข้าประชุทครบทั้งหมด  ด้านรศ. (พิเศษ) นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ กรรมการแพทย์สภา โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ก ระบุว่า “ลึกแต่ไม่ลับ (2) บางส่วนพร้อมลงรายละเอียดว่า การประกอบวิชาชีพเวชกรรม จะมีความรับผิดตามกฎหมายมาเกี่ยวข้อง 3 ประเด็น คือ ความรับผิดทางอาญา ความรับผิดทางแพ่ง และ ความรับผิดทางจริยธรรม ความรับผิดทางอาญาและแพ่ง อำนาจอยู่ที่อัยการ และผู้พิพากษา



          คดีนี้ทำให้คนทั่วไปเข้าใจขั้นตอนการทำงานของกระบวนวิธีพิจารณาคดีของแพทยสภาได้มากที่สุด  ต้องขอบคุณสื่อที่ช่วยกันนำเสนอแทนแพทยสภา ทำให้ประชาชนทั่วประเทศเข้าใจว่า "ทำไมถึงต้องให้เวลากับกระบวนวิธีพิจารณาคดีของแพทยสภา (ที่เป็นระบบไต่สวน) อย่างเหมาะสม" เพราะข้อบังคับว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีจริยธรรม บังคับให้องค์คณะต้องเปิดโอกาสให้สองฝ่ายนำเสนอหลักฐานอย่างเต็มที่ และองค์คณะมีอำนาจสืบค้นข้อเท็จจริงด้วยตนเอง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีทนาย (ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีความรู้ความสามารถเรื่องทางการแพทย์มากเท่าองค์คณะ) เข้ามาวุ่นวายในกระบวนการนี้



          พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม น่าจะเป็นกฎหมายฉบับแรก ๆ (หรืออาจจะแรกสุด) ที่ใช้ "ระบบไต่สวน" ในการค้นหาความจริงและทำคำตัดสิน องค์คณะผู้ไต่สวน คือ อนุจริยธรรม และอนุสอบสวน ทำงานร่วมกับ องค์คณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสุด ๆ ของราชวิทยาลัยทางการแพทย์หลายแห่ง เปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายนำเสนอพยานหลักฐานเต็มที่ แต่ในขณะเดียวกัน องค์คณะเองก็มีความรู้เรื่องราวในประเด็นทางการแพทย์อย่างดีมากและน่าจะสูงกว่าคู่ความทั้งสองฝ่าย จึงมีความสามารถในตัวเองที่จะทำความจริงให้ปรากฎโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพยานหลักฐานของคู่ความเพียงอย่างเดียว ไม่จำเป็นต้องให้ทนายความหรือคนนอกมานำเสนอ วิธีนี้จะช่วยอุดช่องว่างในด้านข้อมูลข่าวสารที่อาจเป็นการพ้นวิสัยที่คู่ความฝั่งใดฝั่งหนึ่งจะหามานำเสนอด้วยตนเอง หรือคู่ความฝั่งใดฝั่งหนึ่งเจตนาปกปิดไม่นำเสนอ



         คดีนี้ทำให้เห็นว่า กรรมการแพทยสภา ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้ง ล้วนตระหนักในหน้าที่ของตนเองดี ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่แพทย์ด้วยกันก็ยังตั้งคำถามแรง ๆ ใส่กรรมการแพทยสภาและคณะทำงาน แต่ผู้เกี่ยวข้องยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานตามหน้าที่เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงไปตามขั้นตอนปกติ



         มติของคณะกรรมการแพทยสภา ที่เป็นผู้ออกคำสั่งหรือคำตัดสินคดีจริยธรรมหรือมาตรฐานวิชาชีพ  มีที่มาจากเอกสารที่วางอยู่ตรงหน้า "เท่านั้น" ดังนั้นกรรมการแพทยสภาทุกคนจะไม่สามารถปักธงไว้ล่วงหน้า จนกว่าจะได้ศึกษาสำนวนและคำสรุปของอนุกรรมการทุกชุดจนถ่องแท้ ก่อนทำการโหวตลงมติ หรือแม้จะมีธง แต่เมื่อมีเอกสารหลักฐานเวชระเบียนผลภาพรังสีต่างๆ วางอยู่ตรงหน้า จึงเป็นการยากที่จะตัดสินใจตามธง เพราะประเด็นทางการแพทย์เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ ที่ทุกการตัดสินใจในการรักษา ต้องมีเหตุผลรองรับ เพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยให้กับประชาชนทั่วประเทศ



          ทุกเสียงโหวต ล้วนตัดสินใจบน "ข้อเท็จจริงทางการแพทย์" จากเวชระเบียนและจากการไต่สวนที่อนุกรรมการจริยธรรม อนุกรรมการสอบสวน และอนุกลั่นกรอง "ทำการบ้านมาให้ล่วงหน้า" ก่อนชงให้คณะกรรมการแพทยสภาชุดใหญ่ทำคำตัดสิน (ย้ำว่าคณะกรรมการแพทสภาเท่านั้นเท่านั้นที่มีอำนาจตัดสิน อนุทุกชุดแค่เป็นคณะทำงาน เป็นที่ปรึกษา เท่านั้น) เดือน ๆ หนึ่งมีคดีที่แพทยสภาต้องทำคำตัดสินแบบนี้ไม่ต่ำว่า 30 คดี มากสุดเท่าที่จำได้คือเกือบ60 คดี ทำให้แพทยสภาต้องตั้ง "อนุกรรมการกลั่นกรอง" เข้ามาช่วยงาน



          สำหรับการประชุมแพทยสภาเดือนมิ.ย.มีขึ้น ก่อนวันที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดพิจารณาคดี นายทักษิณ  นอนโรงพยาบาล แทนนอนเรือนจำ อ่านข่าวนี้ https://www.js100.com/en/site/news/view/150708



#ทักษิณ



#แพทยสภา



#ทุจริต

ข่าวทั้งหมด

X