TDRI เตือนวิกฤต! เวียดนามสวมรอยทุเรียนไทยส่งออกจีน

30 พฤษภาคม 2568, 11:45น.


           สถานการณ์ทุเรียนไทย ไม่ได้สวยงาม ขนิษฐา ปะกินำหัง นักวิจัยนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศและการพัฒนา ทีดีอาร์ไอ  ระบุว่า “ทุเรียน” ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผลไม้ส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดจีน ที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 90% ของยอดส่งออกทุเรียนทั้งหมดของไทย ทว่าปี 2568 กลับกลายเป็นปีที่อุตสาหกรรมทุเรียนไทยต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้านครั้งใหญ่จากทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน ทั้งด้านการผลิต การตลาด ราคาที่ผันผวน และมาตรการทางการค้าจากประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่ไทยพึ่งพามาอย่างยาวนาน


          สถานการณ์ปีนี้เริ่มต้นด้วยปริมาณผลผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการขยายพื้นที่ปลูกอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในภาคตะวันออกที่มีพื้นที่ปลูกถึง 469,580 ไร่ ส่งผลให้ผลผลิตทุเรียนในภูมิภาคนี้เพิ่มขึ้นกว่า 56.89% จากปีก่อน ขณะที่ทั่วประเทศคาดว่าผลผลิตทุเรียนในปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 1.682 ล้านตัน เพิ่มขึ้นราว 30.72% จากปี 2567 ปัจจัยด้านสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยส่งผลให้ทุเรียนติดผลดี แม้ดูเป็นเรื่องดี แต่ในความเป็นจริงกลับก่อให้เกิดความเสี่ยงจากภาวะผลผลิตล้นตลาด และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดส่งออก


          ข้อมูลจากสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์) ไทยส่งออกทุเรียนมูลค่า 128.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (4,374 ล้านบาท) แบ่งเป็นทุเรียนสด 85.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,918 ล้านบาท) และทุเรียนแช่แข็ง 42.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (1,456 ล้านบาท) แม้ตัวเลขจะดูน่าพอใจ แต่กลับมีปัญหาเชิงคุณภาพเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นฤดูกาล โดยกรมวิชาการเกษตร พบว่ากว่าร้อยละ 30% ของทุเรียนที่ตรวจจากล้งส่งออกเป็น “ทุเรียนอ่อน” ที่ยังไม่เหมาะสำหรับการบริโภค


         ส่งผลให้ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ศุลกากรจีนได้เพิ่มมาตรการตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดยมีการระงับการนำเข้าทุเรียนจากล้งไทยบางแห่ง เนื่องจากพบว่ามีทุเรียนเกิน 40% มีคุณภาพต่ำ และมีบางล๊อตมีการปนเปื้อนสารตกค้าง เช่น แคดเมียม และสารย้อมสี Basic Yellow 2 หรือ BY2 ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อยอดขาย แต่ยังสั่นคลอนความเชื่อมั่นในคุณภาพของทุเรียนไทยในสายตาผู้บริโภคจีน


        ความท้าทายของทุเรียนไทยในปี 2568 ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อจีนเริ่มเปิดตลาดให้กับประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม (ปี 2565) และมาเลเซีย (ปี 2567) ที่อนุญาตให้ทั้งสองประเทศส่งออกทุเรียนสดเข้าจีนได้ ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จาก 95% ในปี 2565 เหลือเพียง 68% ในปี 2566 และลดลงต่อเนื่องจนเหลือ 57% ในปี 2567 เวียดนามใช้จุดแข็งเรื่องต้นทุนการผลิตต่ำและระบบการส่งออกที่สะดวกและยืดหยุ่น ส่วนมาเลเซียเน้นตลาดพรีเมียมด้วยทุเรียนพันธุ์ Musang King


         ที่น่ากังวลคือ กรณีการลักลอบนำเข้าทุเรียนเวียดนามเพื่อนำมาสวมสิทธิ์ว่าเป็นทุเรียนไทยเพื่อส่งออกไปยังจีนที่ภาครัฐไทยกำลังตรวจสอบ เนื่องจากตลาดจีนมีความนิยมในทุเรียนไทยสูงกว่า อีกตั้งแต่ปลายปี 2567 จีนได้ตรวจพบสารแคดเมียมและสารย้อมสี BY2.ในทุเรียนเวียดนาม ส่งผลให้จีนเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบคุณภาพทุเรียนเวียดนามเพิ่มขึ้นทำให้ราคาทุเรียนในตลาดเวียดนามตกต่ำลงจนเป็นความเสี่ยงต่อการนำเข้ามาสวมสิทธิ์เพื่อส่งออก ซึ่งอาจสร้างความเสียหายต่อความน่าเชื่อถือของทุเรียนไทย หากจีนตรวจพบและเข้าใจผิดว่าเป็นผลผลิตมาจากไทยโดยตรง


          ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ราคาทุเรียนภายในประเทศตกต่ำลงอย่างมาก จนราคาสามหลักในช่วงต้นฤดูกาล (120+ บาท/กก.) เหลือเพียงสองหลักในเดือนพฤษภาคม (ต่ำกว่า 95 บาท/กก.) นับเป็นระดับราคาที่ต่ำสุดในรอบ 5 ปี ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับเกษตรกรอย่างกว้างขวาง


          ข้อเสนอทางรอดทุเรียนไทย เพื่อแก้ไขวิกฤตดังกล่าวในระยะยาว หน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมวิชาการเกษตร ควรเร่งดำเนินมาตรการเชิงระบบเพื่อควบคุมมาตรฐานการผลิตทุเรียนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดของประเทศผู้นำเข้า โดยเฉพาะด้านคุณภาพและความปลอดภัยจากสารตกค้าง ควบคู่กับการส่งเสริมให้เกษตรกร ล้งหรือโรงคัดบรรจุผลไม้ร่วมกันรับผิดชอบกระบวนการผลิต หากพบว่าล้งใดละเมิดมาตรฐาน ควรมีมาตรการลงโทษอย่างชัดเจน เช่น การห้ามส่งออกชั่วคราวหรือดำเนินคดีตามกฎหมาย


 


#ทุเรียนไทยถูกสวมสิทธิ์ 


#ตลาดจีน


แฟ้มภาพ


 
ข่าวทั้งหมด

X