ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดอดีตเจ้าหน้าที่รัฐ สังกัดสำนักพระพุทธศาสนาฯ ร่ำรวยผิดปกติจำนวน 3 ราย

28 พฤษภาคม 2568, 14:53น.


          นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. แถลงว่า  ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวหาร้องเรียนอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่ามีการทุจริตเงินอุดหนุนวัด และคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติให้ไต่สวนกรณีร่ำรวยผิดปกติด้วยนั้น บัดนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติชี้มูลความผิดอดีตเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ว่าร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 3 ราย โดยมีรายละเอียด ดังนี้



          1.คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิชาการศาสนาชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ ขอศาล สั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน รวมเป็นเงิน 24,973,519 บาท



          คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนักวิชาการศาสนาชำนาญการพิเศษ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างตามกฎหมาย สืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 24,973,519 บาท



         คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ของนายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี ตกเป็น  ของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป



          2. คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนางพรเพ็ญ  กิตติธรางกูร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ ขอศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน รวมเป็นเงิน 12,818,335.21 บาท



          คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการส่วนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างตามกฎหมายสืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เป็นเงินทั้งสิ้น 12,818,335.21 บาท 



          คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติ ของนางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร ตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัยพร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุปไปยังผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายในหกสิบวัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม ต่อไป



          3.คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนางจุไรรัตน์ มีศิริ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานฝ่ายเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ ขอศาลสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน รวมเป็นเงิน 10,863,181.98 บาท



          คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดนางจุไรรัตน์  มีศิริ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานฝ่ายเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สังกัดสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างตามกฎหมายสืบเนื่องจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สิน ตกเป็นของแผ่นดิน เป็นเงินทั้งสิ้น 10,863,181.98 บาท



           คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐานและความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติของนางจุไรรัตน์ มีศิริ ตกเป็นของแผ่นดินตามรายการทรัพย์สินดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง ต่อไป



           ทั้งนี้ หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกกล่าวหาที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติ ตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้วแต่กรณี ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายในระยะเวลาสิบปี ตามนัยมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ด้วย        



รายละเอียดเพิ่มเติม https://shorturl.asia/e0BU5



    จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน



 



Cr:สำนักงานป.ป.ช.

ข่าวทั้งหมด

X