นาย นรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลปกครองสูงสุดอ่านคำพิพากษาว่า ในส่วนของคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ถ้าเปรียบเทียบกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว จะเห็นว่ามีส่วนหนึ่งที่เหมือนกันในข้อหนึ่ง คือตามคำสั่งของกระทรวงการคลังที่ 1351/59 ที่ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รับผิดในโครงการจำนำข้าวปีการผลิต 2555/56 ปีการผลิต 2556/57 จำนวน 178,000 กว่าล้านบาท ให้รับผิดชอบ 20% คือ 35,000 ล้านบาท ในคำพิพากษาของทั้งสองศาลตรงกันคือไม่ต้องรับผิด เพราะการคำนวณในส่วนนี้เป็นผลการคำนวณจากการขาดทุนทั้งสองโครงการ
ที่แตกต่าง คือให้รับผิดในส่วนขั้นตอนการระบายข้าวว่ามีการทุจริต จึงต้องรับผิดในส่วนนี้ ซึ่งขั้นตอนการระบายข้าว อยู่ในขั้นตอนของฝ่ายปฏิบัติ ซึ่งมีคณะอนุกรรมการระบายข้าวเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ โดยมี รมว.พาณิชย์เป็นประธาน
อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาในส่วนที่ให้รับผิดใน 10,028 ล้านบาทนั้น จะเห็นได้ว่าวันที่มีการรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 จะเห็นได้ว่ามีข้าวคงเหลือในคลังประมาณ 18.9 ล้านตัน ส่วนนี้เองคำสั่งของกระทรวงการคลังบอกว่า หากขายข้าวได้ในราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่คณะอนุการระบายข้าวปิดบัญชีคำนวณไว้ ณ วันที่ 22 พ.ค. 57 ก็สามารถนำมาหักทอนกับที่ต้องรับผิดชอบได้
ปัจจุบันนี้ข้าว 18.9 ล้านตัน ได้ขายหมดแล้วในรัฐบาลนี้ ซึ่งมีบางช่วงที่ข้าวจำนวนนี้หากขายจริงจะได้กิโลกรัมละประมาณ 25 บาท โดยหักขายได้ทั้งหมดจริงๆ จะเป็นเงิน 250,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาหักทอนในจำนวนนี้ จึงทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจจะไม่ต้องชดใช้เลย ตนเองในฐานะทนายความเห็นว่าการจำหน่ายข้าว หรือขายข้าวในส่วนนี้เป็นพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งทนายพยายามยื่นไปในคดีนี้แล้ว แต่การยื่นนั้นสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว ศาลจึงไม่รับ ซึ่งต้องมีการหารือกันว่าจะนำประเด็นดังกล่าว ไปขอพิจารณาคดีใหม่ได้หรือไม่ ต้องดำเนินการจนถึงที่สุด เพื่อขอคืนความเป็นธรรมให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์
ส่วนจะขยายกรอบระยะเวลาในการชดใช้หนี้ 10,028 ล้านบาทออกไปหรือไม่นั้น ต้องบอกว่าการขอพิจารณาใหม่เป็นการดำเนินการตามกฏหมายซึ่งต้องยื่นภายใน 90 วันตามมาตรา 75 ของ พ.ร.บ. จัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
ส่วนทรัพย์ที่มีการยึดและอายัดไปนั้น มีการขายไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งจำไม่ได้ว่ามีมูลค่าเท่าไหร่ โดยตามคำพิพากษาให้ยกคำสั่งกระทรวงการคลังในส่วนที่เกิน 10,028 ล้านบาทนั้น โดยราคาข้าวที่ขายไปทั้งหมดตั้งแต่สมัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนถึงล่าสุด ขายได้กว่า 1 แสนล้านบาท ต้องยอมรับว่า ข้าว 18.9 ล้านตัน ในช่วงปี 58 - 62 มีการจัดเกรดข้าวไปขายเป็นข้าวเน่าในราคากิโลกรัมละ 3 - 5 บาท แต่ในยุคของนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่เป็น รมว.พาณิชย์ ขายได้กิโลกรัมละ 18 บาท ซึ่งได้เงินมากว่าหมื่นล้านบาท
การยื่นเรื่องพิจารณาคดีใหม่ ก็จะนำข้อเท็จจริงเรื่องพยานหลักฐานใหม่ไปยื่น โดยเป็นข้อมูลทางราชการในการขายข้าว และหากมีการยื่นหลักฐานใหม่ เพื่อขอพิจารณาคดีใหม่แล้ว ศาลไม่รับจะถือว่าคดีสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ นายนรวิชญ์ กล่าวว่า ตามหลักเป็นแบบนั้น แต่ก็พยายามสู้ให้เต็มที่ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้มีการรายงาน น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ท่านคงได้เห็นตามข่าวแล้ว
และว่า คดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข่าวที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางกลับประเทศไทยหรือไม่เพราะคดีนี้เป็นคดีแพ่งไม่เกี่ยวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์น่าจะเดินทางกลับได้ ขณะนี้ยังไม่ได้คุยกัน แต่มีผู้ใหญ่ขอให้ช่วยดูคดีนี้อย่างเต็มที่ ตนเองรู้สึกสงสารท่าน ที่โดนคดีอาญาและคดีนี้ ต้องชดใช้ไป 10,000 กว่าล้าน พร้อมย้ำว่าทีมทนายพร้อมจะสู้คดีให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หากมีช่องทางกฎหมาย เพื่อคืนความเป็นธรรม
ทางด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊ก ภายหลังศาลปกครองสูงสุด อ่านคำวินิจฉัยให้ชดใช้หนี้กว่า 10,000 ล้านบาท
ระบุว่า ไม่มีเจตนาจะทำให้โครงการเสียหาย การดำเนินโครงการแต่ละขั้นตอน เกี่ยวข้องกับหน่วยงานและบุคลากรหลายฝ่าย มีลำดับขั้นการบังคับบัญชาตามระบบราชการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่หัวหน้าฝ่ายบริหารจะไปก้าวก่ายแทรกแซงในรายละเอียดได้ แต่กลับต้องรับผิดชอบกับความเสียหายเพียงลำพัง หากจะบอกว่าสิ่งนี้คือความเป็นธรรม ก็เป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่งที่จะเข้าใจและยอมรับได้
'หนี้ 10,000 ล้านบาท ชดใช้ทั้งชีวิต ยังไงก็ไม่มีวันหมด การทุ่มเททำงาน แบกรับแรงเสียดทานทั้งทางการเมืองและอีกหลายรูปแบบ เพื่อค้ำยันราคาข้าวให้สูงและมีเสถียรภาพ เพื่อชาวนาได้มีชีวิตที่ดีกว่า พลิกผืนนาเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของครอบครัว กลับมีบทสรุปที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับดิฉัน'
ความรู้สึกแบบนี้ไม่เกิดขึ้นกับตัวเองก็คงไม่มีใครรู้ แต่ถึงกระนั้นจะเรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในชีวิต จนถึงที่สุดตามกฎหมายที่พึงกระทำได้
#คดีจำนำข้าว
#ยิ่งลักษณ์