ตลาดหุ้นเอเชีย ปิดภาคเช้าปรับตัวลงในวันนี้ (19 พ.ค.) หลังจากมูดี้ส์ เรทติ้งส์ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐ และหลังจากทางการจีนเปิดเผย ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยเฉพาะยอดค้าปลีกที่ชะลอตัวลงมากกว่าคาด
ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดภาคเช้าที่ระดับ 37,617.63 จุด ลดลง 136.09 จุด ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนปิดภาคเช้าที่ 3,364.44 จุด ลดลง 3.02 จุด และดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงปิดภาคเช้าที่ระดับ 23,230.95 จุด ลดลง 114.10 จุด
ด้านดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ปิดเช้าวันนี้ที่ 1,193.62 จุด ลดลง 2.15 จุด (-0.18%) มูลค่าซื้อขายราว 20,371 ล้านบาท ดัชนีแกว่งผันผวนในแดนลบ โดยทำระดับสูงสุด 1,195.79 จุด และต่ำสุด 1,186.04 จุด
ตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งลงออกข้างไร้ปัจจัยใหม่มาหนุนให้ฟื้นตัวได้ โดยมีแรงขายของหุ้น DELTA มากดดัน ประกอบกับตัวเลข GDP ของไทยไตรมาส 1/68 แม้ออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย แต่ประมาณการช่วงที่เหลือของปีถูกปรับลง และผลประกอบการ บจ.ในไตรมาส 1/68 ไม่ได้ดีกว่าคาด ส่วนภาพรวมการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯเริ่มมีความเสี่ยง หลังจากสหรัฐฯยืนยันความต้องการกำหนดอัตราภาษีเองในการเจรจา
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ไม่ได้ปรับตัวลงมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ส่วนปรับตัวลง
ก่อนหน้านี้ มูดี้ส์ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐฯ จากระดับ Aaa ลงมาอยู่ที่ Aa1 เมื่อวันศุกร์ (16 พ.ค.) โดยระบุในแถลงการณ์ว่า "การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงหนึ่งขั้นสะท้อนให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของระดับหนี้สาธารณะและภาระดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งตอนนี้อยู่ในระดับที่สูงกว่าประเทศอื่น ๆ ที่มีอันดับใกล้เคียงกันอย่างมาก"
ด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานในวันนี้ว่า ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย. ปรับตัวขึ้น ร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 และน้อยกว่าเดือนมี.ค.ที่ขยายตัวร้อยละ 5.9 ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการอุปโภคบริโภคของจีนยังคงอ่อนแอ
ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ของจีน ปรับตัวขึ้นร้อยละ 6.1 เมื่อเทียบรายปี แม้ออกมาแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.5 แต่การขยายตัวดังกล่าวชะลอตัวลงจากที่พุ่งขึ้นถึงร้อยละ 7.7 ในเดือนมี.ค.
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรซึ่งรวมถึงการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน ปรับตัวขึ้น ร้อยละ 4 ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2
นอกจากนี้ ราคาบ้านใหม่ของจีนทรงตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่สองในเดือนเม.ย. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน แม้ว่ารัฐบาลจีนพยายามใช้มาตรการรักษาเสถียรภาพของภาคอสังหาริมทรัพย์ในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม
#เศรษฐกิจ
#ตลาดหุ้นเอเชีย
แฟ้มภาพ