นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนเมษายน 2568 ปรับตัวลดลงจากระดับ 56.7 เป็น 55.4 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นปัจจุบันที่ลดลงจาก 40.8 เป็น 39.8 และความเชื่อมั่นในอนาคตที่ลดลงจาก 64.4 มาอยู่ที่ระดับ 62.9 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ลดลงอยู่ที่ระดับ 49.3 จาก 50.5 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ อยู่ที่ 53.0 ลดลง จาก 54.2 และความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 53.0 ลดลงจาก 64.4
โดยความเชื่อมั่นลดลงมาจากสงครามการค้าที่เริ่มต้นเดือนกุมภาพันธ์ ราคาพืชผลทางการเกษตรหลักๆ ได้แก่ ข้าว ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ที่เทียบราคาปี 2567 มีการย่อตัวลง เม็ดเงินที่จะสะพัดในตลาดสินค้าเกษตรมีลดลง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย ทั้งข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) และศึกสีน้ำเงินและแดง สถานการณ์หมายเลขชั้น 14
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า เรายังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม อย่างการแจกเงินให้กลุุ่มวัยรุ่น 16-20 ก็ถูกเลื่อนออกไปในเบื้องต้น ส่วนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องรอถึงครึ่งหลังของปี 2568 แต่รัฐบาลประกาศว่าจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม มองว่ารัฐบาลจะหยิบเม็ดเงิน 2-5 แสนล้านบาทมากระตุ้นเศรษฐกิจครึ่่งปีหลัง แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขว่า รัฐบาลจะยังอยู่หรือไม่ หากสะดุดหยุดไปผ่านการยุบสภา จะทำให้งบประมาณแผ่นดินหยุดไป 3-6 เดือน จึงขึ้นอยู่กับว่าจะมีอุบัติเหตุทางการเมืองหรือไม่ อาทิ การยุบสภา หากมีการยุบสภาจะกังวลเรื่องงบประมาณไม่ผ่าน และการเจรจาการค้ากับสหรัฐจะเป็นรัฐบาลรักษาการหรือรัฐบาลจริง ซึ่งมีผลต่อการเจรจาการค้า การเมืองน่าจะหาทางออกที่ไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจ แต่ปัจจัยการเมืองถือเป็นปัจจัยเสี่ยงในช่วงถัดไป
ปัจจัยที่ต้องติดตามคือ 1.มาตรการกระตุ้นรัฐยังไม่ออก 2.การเมืองเสี่ยง 3.ราคาพืชเกษตร และ 4.เศรษฐกิจที่ซึมยังไม่ได้ถูกเยี่ยวยาเป็นพิเศษ แม้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งแล้ว จึงมองว่ากำลังซื้อจะนิ่งๆ แบบนี้ ความเชื่อมั่นเป็นทิศทางขาลงต่อเนื่อง จึงอยากให้รัฐบาลเตรียมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อดึงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวช่วงปลายปีมากขึ้น โดยสนับสนุนการไม่ใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงินหมื่น แต่ใช้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ตัวคูณหมุนมากขึ้น เกิดการจ้างงานในพื้นที่เพิ่มเติม
สำหรับ ดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยประจำเดือนเมษายน 2568 พบว่า ความเชื่อมั่นภาพรวมปรับลดลงอยู่ที่ระดับ 48.3 จากระดับ 48.9 เทียบกับช่วงเดือนมีนาคม ดัชนีปัจจุบันอยู่ที่ 45.2 ลดลงจาก 45.6 ส่วนดัชนีในอนาคตอยู่ที่ 51.4 ลดลงจาก 52.3 ถือเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง 2 เดือนติดต่อกัน จากเดิมประเมินเศรษฐกิจไทยจะมีอุปสรรคด้านการส่งออกที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้เม็ดเงินต่อเศรษฐกิจหายไปประมาณ 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งต้องมีผลบังคับใช้ทันที แต่ผลเริ่มต้นในเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ความเสียหายจึงคาดว่าจะอยู่ที่ 1.5 แสนล้านบาท
#เศรษฐกิจไทย
แฟ้มภาพ