ศูนย์ศึกษาและวิจัยฯทางทะเลภูเก็ต เผยโฉมลูกฉลามกบ 14 ตัวอนุบาลจากไข่จนรอด 2 เดือนปล่อยคืนทะเล

          ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 ภูเก็ต เดินหน้างานด้านการศึกษาและวิจัยติดตามสถานภาพของทรัพยากรธรรมชาติใน 6 อุทยานฝั่งอันดามันตอนบน พังงา – ภูเก็ต ชี้ห่วงหญ้าทะเล ปริมาณลดวูบ เปิดแผนของบฟื้นฟู และเพาะขยาย พร้อมโชว์ความสำเร็จ ช่วยไข่ฉลามกบ ดูแลจนได้ 14 ลูกฉลาม อีก 2 เดือนปล่อยคืนท้องทะเล

          นายไพศาล บุญสวัสดิ์ นักวิชาการป่าไม้ปฏิบัติการ ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2  (ภูเก็ต) เปิดเผยว่า ศูนย์ศึกษาและวิจัยอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่ 2 (ภูเก็ต) มีภารกิจหลักคือ การศึกษาวิจัย และสำรวจติดตามสถานภาพของทรัพยากรธรรมชาติ และพัฒนานวัตกรรมในการจัดการอุทยานแห่งชาติทางทะเลเน้นการคุ้มครองระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ให้เป็นแหล่งศึกษาวิจัย ศึกษาธรรมชาติ นันทนาการและการท่องเที่ยว งานศึกษาวิจัยสำคัญ ที่ดำเนินการในขณะนี้ คือ การสำรวจ ติดตามและประเมินสถานภาพแหล่งหญ้าทะเล  ซึ่งปัจจุบัน หญ้าทะเลอยู่ในภาวะวิกฤต หญ้าทะเล เป็นทรัพยากรทางทะเลที่สำคัญเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย เลี้ยงตัวอ่อนสัตว์น้ำ และแหล่งหากินของสัตว์ทะเลนานาชนิด   และมีส่วนช่วยในการกรองและปรับปรุงคุณภาพน้ำ จากที่มีระบบรากที่คอยยึดจับเพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดินได้เป็นอย่างดี ดังนั้น กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จึงได้จัดสรรงบประมาณให้ศูนย์ฯ เข้าไปศึกษาสำรวจ ติดตามและประเมินสถานภาพหญ้าทะเลในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทางทะเลทั้ง 6แห่ง

          ขณะที่ดำเนินการสำรวจ ติดตามและประเมินสถานภาพแหล่งหญ้าทะเล พบว่า มีปลาฉลามกบ ได้ติดเครื่องมือประมงอยู่ จึงได้ช่วยเหลือและปล่อยปลาฉลามกบไป และพบว่าในลอบมีไข่ปลาฉลามกบติดอยู่24ฟอง จึงเก็บไข่นำมาเพาะอนุบาลในบ่อเลี้ยง

          ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถดูแลให้ไข่ฉลามกบจนสามารถฟักเป็นตัว เป็นระยะเวลาแล้ว 4 เดือน มีปลาฉลามกบที่เลี้ยงรอด 14 ตัว ซึ่งตามแผน จะเลี้ยงต่ออีกประมาณ 2 เดือน จากนั้นจะนำไปปล่อยนคืนกลับสู่ท้องทะเลต่อไป ฉลามกบ เป็นฉลามที่พบได้ทั่วไปในน่านน้ำไทย จะออกลูกเป็นไข่ ครั้งละ 2 ฟอง ไข่จะมีลักษณะเป็นกระเปาะรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดความยาว 7-9 ซม. ที่ปลายจะมีเส้นใยสำหรับยึดเกาะวัตถุใต้น้ำ วางไข่ตามกองหินใต้น้ำ และกอสาหร่าย

 #ฉลามกบ

#หญ้าทะเล

 Cr:กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพรรณพืช