สถานการณ์สงครามการค้า “ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กล่าวในงานพบสื่อมวลชน เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ได้ประเมินผลกระทบจากนโยบายภาษีตอบโต้ของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ต่อเศรษฐกิจไทยว่า จุดต่ำสุดที่เศรษฐกิจไทยจะได้รับผลกระทบ คงไม่เห็นเร็วกว่าไตรมาส 4 ปี 2568 เพราะใช้เวลารอความชัดเจน และผลที่จะเห็น แต่ความลึกของช็อก มองว่าไม่เท่ากับช็อกครั้งก่อน ๆ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเงินโลกปี 2551 ที่การส่งออกของไทยหดตัวติดลบร้อยละ 13 แต่รอบนี้ตามสมมุติฐานคาดว่าจะหดตัวติดลบร้อยละ 1
อย่างไรก็ดี มองว่าไม่ควรชะล่าใจเกินไป แต่ก็ไม่ควรตกใจเกินไป โดยสมมุติฐานที่ว่า หากเกิดสงครามการค้าเต็มที่ จะเห็นเศรษฐกิจลงลึกกว่า แต่การเก็บภาษีเกินร้อยละ100 ก็มีคนคิดว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะภาคการผลิตของสหรัฐต้องพึ่งพาสินค้าขั้นกลางจากจีนถึงร้อยละ 46 ดังนั้น โอกาสเกิดเทรดวอร์เต็มที่ คงไม่เกิดขึ้นแน่
ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า การฟื้นตัวใช้เวลาค่อนข้างยาว เพราะเป็นการปรับตัวของซัพพลายเชน จึงต้องใช้เวลาเป็นปี ซึ่งการปรับตัวไม่ได้เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าจะกลับมาสู่โลกปัจจุบัน
ขณะที่หลังพายุผ่านไป หากไม่ปรับตัวการเติบโตจะต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดช็อก เพราะนโยบายภาษีทำให้การค้าโลกชะลอลง ซัพพลายเชนปรับเปลี่ยน จะบั่นทอนประสิทธิภาพ ทำให้การเติบโตโลกและไทยเติบโตชะลอลง ซึ่งหากไทยไม่ปรับตัวโอกาสที่ไทยจะ “เติบโตต่ำ” กว่าในอดีตมีค่อนข้างสูง จึงควรใช้จังหวะนี้ในการปรับตัว
สำหรับการเดินหน้า นโยบายจะต้องเอื้อให้การปรับตัวได้เร็วขึ้น และเอื้อในระยะยาวหลังพายุผ่านไป และสามารถเติบโตได้ดีกว่าเดิม ดังนั้น มาตรการที่จะออกมาไม่ควร “ปูพรม” อย่างเซ็กเตอร์ ที่ส่งออกไปสหรัฐสูง แต่ผลกระทบแตกต่างกัน อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า, อาหารแปรรูป, เครื่องนุ่งห่มสิ่งทอ เป็นต้น ดังนั้น การรับมือคือ ต้องทำให้ช็อกที่เจอเบาลง อย่าทำให้ผลกระทบลึกมาก และมาตรการต้องเอื้อให้เกิดการปรับตัวได้เร็วในการเติบโตระยะยาว เมื่อพายุผ่านไป
“ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า หากถามว่า ธปท.ทำอะไร ต้องบอกว่า
1.นโยบายการเงิน ทำมาต่อเนื่อง โดยดูนโยบายการเงินควบคู่กับนโยบายอื่น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ย 0.25% มา 2 ครั้งต่อเนื่อง แต่กระสุนมีจำกัดต้องใช้อย่างระมัดระวัง
2.ตลาดการเงินค่อนข้างผันผวน เงินดอลลาร์แกว่ง และทองคำแกว่ง ธปท.ก็ดูแลต่อเนื่อง แต่ก็ผันผวนสูง และ 3.มาตรการการเงินที่ใช้อยู่ เช่น การปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) เน้นเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้ก่อนและหลังเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)
“ธปท.พร้อม หากมีความจำเป็นที่จะออกมาตรการเพิ่มเติม แต่ต้องดูผลกระทบออกมาในรูปแบบไหน หน้าตาแบบไหน
ส่วนการ“แจกเงินหมื่นบาท” หรือ “ดิจิทัลวอลเลต” นั้น “ดร.เศรษฐพุฒิ” กล่าวว่า ต้องขอบคุณภาครัฐที่มีการทบทวนความเหมาะสมเรื่องนี้ เพราะในยามนี้บนสถานการณ์ที่เปลี่ยน บวกกับสินค้าต่างประเทศทะลักเข้าไทย การทำนโยบายต่าง ๆ ต้องเน้นความคุ้มค่าและมีประสิทธิผลที่ดี ภายใต้ขีดความสามารถด้านการเงินและการคลังมีอย่างจำกัดมากขึ้น
ทั้งนี้ “ดร.เศรษฐพุฒิ”ระบุว่า เนื่องจากตนเองจะครบวาระทำงานในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ จึงอยาก ฝากผู้ว่าการคนใหม่ว่า นอกจากการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เข้ามานั้น สิ่งที่ต้องทำ คือ เรื่องของระยะยาว การปูพื้นฐานโครงสร้างต่าง ๆ เป็นสิ่งที่พยายามทำมาต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยทำให้ภาพรวมของระบบดีขึ้น เช่น ภูมิทัศน์การเงินใหม่ (Financial Landscape) อาทิ เรื่องของ 3 Open ตัวอย่าง Open Data ที่จะเข้ามาช่วยเรื่องของการแข่งขัน และปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นสิ่งที่อยากให้ช่วยสานต่อ
#สงครามการค้า