วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับตำนาน ประกาศวางมือจากธุรกิจปลายปีนี้ และเตรียมเสนอชื่อเกร็ก อาเบล รองประธาน ขึ้นเป็นซีอีโอและประธานเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์แทน บัฟเฟตต์ประกาศการตัดสินใจดังกล่าวในการประชุมประจำปีผู้ถือหุ้นเมื่อวันเสาร์ (3 พ.ค.) ที่จัดขึ้นในสนามกีฬาเมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา โดยนักลงทุนพันล้านวัย 94 ปีผู้นี้ ระบุว่า จะแนะนำให้คณะกรรมการบริหารที่ประกอบด้วยสมาชิก 11 คนแต่งตั้งอาเบล ซึ่งปัจจุบันดูแลการลงทุนส่วนใหญ่ของเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ขึ้นเป็นซีอีโอและประธานสืบต่อจากตน
ผู้ถือหุ้นนับพันคนที่เข้าร่วมประชุมลุกขึ้นยืนปรบมือกึกก้องยาวนานให้บัฟเฟตต์สำหรับการเป็นผู้นำบริษัทมายาวนานถึง 60 ปี
บัฟเฟตต์ยืนยันว่า ไม่คิดขายหุ้นเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์แม้แต่หุ้นเดียว เนื่องจากเชื่อว่า บริษัทภายใต้การบริหารของอาเบลมีแนวโน้มดีกว่าที่ตนจะบริหารต่อไป บัฟเฟตต์ประกาศเรื่องนี้ช่วงท้ายการประชุมแบบถาม-ตอบนาน 5 ชั่วโมง แต่ไม่อนุญาตให้ถามคำถามเกี่ยวกับแผนการเกษียณของตนเอง
การประกาศแผนเกษียณของบัฟเฟตต์สร้างความตกตะลึงอย่างมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้เขายืนยันว่า ไม่มีแผนวางมือจากธุรกิจแต่อย่างใด
บัฟเฟตต์เป็นผู้นำเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์มาตั้งแต่ปี 1965 และได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เปลี่ยนผ่านบริษัทจากการเป็นผู้ผลิตสิ่งทอที่ประสบปัญหากลายเป็นกลุ่มกิจการมูลค่า 1.03 ล้านล้านดอลลาร์ที่ทำธุรกิจประกันภัย รางรถไฟ พลังงาน และอีกมากมาย
ก่อนหน้านี้เขาประกาศว่า จะบริจาคสินทรัพย์ที่เหลืออยู่ 99.5% ให้มูลนิธิการกุศลที่ดูแลโดยลูกสาวและลูกชาย 2 คน หลังเสียชีวิต ซึ่งตามรายงานของฟอร์บส์นั้น บัฟเฟตต์มีสินทรัพย์สุทธิ 165,300 ล้านดอลลาร์ในขณะนี้
เมื่อวันเสาร์ บัฟเฟตต์ยังเตือนเกี่ยวกับผลกระทบร้ายแรงจากภาษีศุลกากรของทรัมป์ โดยบอกกับนักลงทุนว่า การกระทำดังกล่าวเท่ากับการทำสงคราม และนโยบายการค้าของทรัมป์เพิ่มความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะไร้เสถียรภาพจากการทำให้ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกโกรธแค้นอเมริกา
มหาเศรษฐีอันดับ 5 ของโลกผู้นี้สำทับว่า “ผมคิดว่า เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง ถ้ามีคน 7,500 ล้านคนเกลียดคุณมาก แต่มีแค่ 300 ล้านคนคุยโวเรื่องที่ทำลงไป”
บัฟเฟตต์ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนและผู้ที่มีอิทธิพลต่อพรรคเดโมแครตมายาวนาน ไม่ได้ประกาศรับรองกมลา แฮร์ริส ในการลงเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2024 หรือโจ ไบเดน ในปี 2020 แต่ให้การรับรองบารัค โอบามา สองครั้ง และฮิลลารี คลินตัน
เดือนกุมภาพันธ์ เบิร์คเชียร์รายงานผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปีที่เพิ่มขึ้น 27% เป็น 47,440 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่า นโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์จะส่งผลต่อการทำธุรกิจของบริษัทแห่งนี้ รวมถึงกำไรของผู้ถือหุ้นอย่างไร
อาเบล วัย 62 ปี เกิดในอัลเบอร์ตา แคนาดา ได้รับการวางตัวเป็นทายาทบัฟเฟตต์ในตำแหน่งซีอีโอมาตั้งแต่ปี 2001 เขาทำงานให้เบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์มานาน 25 ปี และจัดการธุรกิจทั้งหมดนอกเหนือจากธุรกิจประกันภัย ซึ่งรวมถึงพลังงานฟอสซิล เคมีภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ และค้าปลีก