เอฟบีไอ เร่งสอบเหตุ รถไซเบอร์ทรัค ของเทสลา ระเบิดหน้าโรงแรมของ'ทรัมป์'ในลาสเวกัส

           จากเหตุรถไซเบอร์ทรัค หรือรถบรรทุกไฟฟ้า ที่ผลิตโดยบริษัทเทสลา เกิดระเบิดขึ้นด้านหน้าโรงแรม ทรัมป์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา สหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจ รายงานว่า คนขับเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บอีก 7 คน เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบเรื่องนี้ ส่วนผู้บาดเจ็บทั้งหมดอาการไม่สาหัส และหลังจากการตรวจค้นภายในรถ พบว่ามีทั้งระเบิด กระป๋องแก๊ส และพลุ

           ภาพจากกล้อง เปิดเผยให้เห็นว่า รถบรรทุก จอดอยู่ตรงหน้าทางเข้าโรงแรม จอดอยู่หลายวินาทีก่อนจะระเบิดขึ้น โดยมีดอกไม้ไฟหลากสีพุ่งกระจายไปในทิศทางต่างๆ รายงานระบุว่า รถบรรทุกคันดังกล่าวเช่ามาจากโคโลราโด และมาถึงพื้นที่ดังกล่าว เมื่อเช้าวันพุธ รถเริ่มมีควันขึ้น จากนั้นก็ระเบิด

           วิดีโออีกคลิปหนึ่ง เผยให้เห็นเจ้าหน้าที่สืบสวนใช้ผ้าใบกันไฟสีดำเพื่อดับไฟและซากที่ไหม้เกรียมของกระบะของรถบรรทุก มีถังแก๊สและเชื้อเพลิงจำนวนมากถูกทิ้งไว้พร้อมกับพลุไฟอีกกว่าสิบลูก

           เหตุการณ์ไฟไหม้เกิดขึ้นเวลา 08.40 น. เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากเกิดเหตุชายคนหนึ่งขับรถบรรทุกที่ติดธงกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) พุ่งเข้าใส่ฝูงชนในนิวออร์ลีนส์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 15 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน

           ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า ทำเนียบขาวกำลังติดตามเหตุการณ์ดังกล่าว และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายกำลังสืบสวนว่าทั้งสองเหตุการณ์มีความเชื่อมโยงกันหรือไม่

           นายแม็กมาฮิลล์ ตำรวจลาสเวกัส กล่าวว่า  เจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังสืบสวนด้วยว่าเรื่องนี้อาจเชื่อมโยงกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าของโรงแรม หรือ นายอีลอน มัสก์ เจ้าของบริษัทเทสลาด้วยหรือไม่

           ขณะที่ นายอีลอน มัสก์  ยืนยันว่า การระเบิดดังกล่าวไม่ได้เกิดจากรถไซเบอร์ทรัค แต่เป็นเพราะวัตถุระเบิดและพลุไฟที่อยู่ภายในรถ

           นอกจากนี้ สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) กล่าวว่า อยู่ระหว่างการสืบสวนหาสาเหตุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นการก่อการร้ายหรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถยืนยันตัวตนของคนขับที่เสียชีวิตในรถได้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังระบุด้วยว่าจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบหลักฐานที่ชี้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอส

#รถไซเบอร์ทรัคระเบิด

#หน้าโรงแรมทรัมป์

Cr.AFP