สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเดือน พ.ย.67 ปรับตัวขึ้นเพียง 3.0% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.6% หลังจากเมื่อเดือน ต.ค.67 พุ่งขึ้น 4.8% นอกจากนี้ นักลงทุนพากันเทขายทำกำไร ก่อนรู้ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกัน ตลาดจับตาการเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของสถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ในวันนี้(17 ธ.ค.67)
ปัจจัยตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคที่อ่อนแอในจีน ชาติผู้นำเข้าเชื้อเพลิงรายใหญ่ ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกขยับลง ปิดตลาดวันจันทร์(16 ธ.ค.67)
-สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนม.ค.68 ลดลง 58 เซนต์ ปิดที่ 70.71 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
-เบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนก.พ.68 ลดลง 58 เซนต์ ปิดที่ 73.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ยอดค้าปลีกของจีนชะลอตัวมากกว่าที่คาดหมายไว้ เพิ่มแรงกดดันให้จีนต้องยกระดับกระตุ้นเศรษฐกิจที่เปราะบาง ท่ามกลางแนวโน้มที่อาจต้องเผชิญกับมาตรการรีดภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
แนวโน้มอุปสงค์ที่อ่อนแอในจีน เป็นปัจจัยสนับสนุนการตัดสินใจของกลุ่มประเทศที่ส่งน้ำมันออก(โอเปกพลัส) ในการเลื่อนแผนเพิ่มกำลังผลิตออกไปจนถึงเดือนเม.ย.68
จากตัวเลขดังกล่าวของจีน จะเพิ่มแรงกดดันให้รัฐบาลจีนต้องจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม นอกจากนี้ ประเทศจีนจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับมาตรการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯสูงกว่าร้อยละ 60 ในช่วงที่นายทรัมป์เข้ามาบริหารประเทศสมัยที่ 2
ก่อนหน้านี้ ประเทศจีนได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัย การลดเงินดาวน์ขั้นต่ำสำหรับซื้อบ้าน และการลดหย่อนทางภาษีสำหรับการซื้อขายบ้าน เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน เนื่องจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์เป็นปัจจัยที่กระทบความมั่นใจของผู้บริโภค ตลอดถึงเศรษฐกิจของจีนในภาพรวม อีกทั้งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของเงินออมของภาคครัวเรือของจีน
ประเทศจีนตั้งเป้าจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเติบโตร้อยละ 5 ในปีหน้า เท่ากับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ นักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งของจีน ระบุว่า ประเทศจีนจะมุ่งเน้นจัดทำมาตรการกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศให้ฟื้นตัวโดยต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดผลกระทบจากนโยบายเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ
#ยอดค้าปลีกจีน
#น้ำมันโลกลดลง