สำนักข่าวต่างประเทศรายงานอ้างสำนักงานศุลกากรของจีนว่า การส่งออกของจีนในเดือนพฤศจิกายนเติบโตในอัตราร้อยละ 6.7 ต่ำกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ ตามผลสำรวจของรอยเตอร์ คือร้อยละ 8.5 และต่ำกว่าอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 12.7 ในเดือนต.ค.ส่วนตัวเลขการนำเข้าของจีนในเดือนพ.ย.ติดลบร้อยละ 3.9 ต่ำสุดในรอบ 9 เดือน สวนทางกับตัวเลขคาดการณ์ของนักเศรษฐษสตร์ที่คาดว่า ตัวเลขการนำเข้าของจีนในเดือนพ.ย.จะเติบโตร้อยละ 0.3 ทั้งนี้ ประเทศจีนได้เปรียบดุลการค้ารวม 97,440 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในเดือนที่แล้ว เพิ่มจาก 95,720 ล้านดอลลาร์ในเดือนต.ค.
ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จับตาดูว่า รัฐบาลจีนจะมีมาตรการเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ อีกทั้งเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่น่าเป็นกังวลสำหรับประเทศจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับที่ 2 ของโลก ในช่วงก่อนที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯเข้ามาบริหารประเทศสมัยที่ 2 ในเดือนหน้า ซึ่งจะเพิ่มปัจจัยเสี่ยงทางการค้าเพิ่มเติมสำหรับประเทศจีน โดยเฉพาะการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้า ก่อนหน้านี้ นายทรัมป์ประกาศจะขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มอีกร้อยละ 10 จากอัตราภาษีเดิมร้อยละ 60 สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน หวังกดดันจีนให้ปราบปรามการลักลอบนำเข้าสารเคมีสำหรับผลิตยาบรรเทาปวดในกลุ่มเฟนทานิลเข้าไปยังสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ระบุว่า มาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะกระทบต่อประเทศจีน เนื่องจากภาคการส่งออกมูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นหนึ่งในเครื่องจักรสำคัญที่ขับเคลี่อนเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ ในปัจจุบัน ความเชื่อมั่นของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจของจีนอ่อนแอลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลพวงจากวิกฤตด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของจีน นอกจากนี้ จีนมีความตึงเครียดทางการค้ากับกลุ่มสหภาพยุโรป(อียู) หลังกลุ่มอียูปรับขึ้นภาษีนำเข้ารถไฟฟ้าจากจีนในอัตราร้อยละ 45.3 ซึ่งเป็นปัญหาพิพาทที่ทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งเสี่ยงที่ประเทศจีนจะเปิดแนวรบสงครามการค้าแห่งที่ 2 กับชาติตะวันตก
ขณะเดียวกัน คณะที่ปรึกษารัฐบาลจีนเสนอแนะรัฐบาลตั้งเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้าไว้เท่ากับปีนี้ ร้อยละ 5 พร้อมทั้งใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม ทั้งเน้นกระตุ้นการบริโภคในประเทศมากขึ้น เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯที่จะกระทบต่อภาคส่งออกของจีนในปีหน้า
#เศรษฐกิจจีน