หลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษายกฟ้องในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดไม่สั่งตรวจสอบการระบายข้าวเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายเดียว ล่าสุดมีรายงานว่าคดีนี้ นายไพรัช พรสมบูรณ์ศิริ อัยการสูงสุดได้ลงนามไม่อุทธรณ์คำสั่งไปเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่เเล้ว
ในคำฟ้องระบุว่า นายกิตติรัตน์ขณะนั้น ดำรงตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ซึ่งทราบเรื่องการเอื้อประโยชน์ ให้บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด เป็นผู้ส่งมอบข้าวให้แก่ BULOG แต่เพียงผู้เดียว แต่เมื่อ นายกิตติรัตน์ ทราบเรื่องกลับไม่ตรวจสอบและไม่ทำหน้าที่ควบคุมดูแล ไม่สั่งการใดหรือเรียกให้มีการชี้แจงข้อเท็จจริง หรือให้ทำรายงานแสดงความคิดเห็น ทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทดังกล่าว โดยไม่จัดให้มีการแข่งขันราคากับผู้เสนอราคารายอื่น และไม่มีการประกาศหรือมีหนังสือเชิญชวนผู้ที่สนใจเป็นการทั่วไป ซึ่งเป็นการหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม ขัดต่อกฎหมายและระเบียบขององค์การคลังสินค้าว่าด้วยการจัดซื้อสินค้าเพื่อการค้าปกติ พ.ศ. 2541 อีกทั้งต่อมาบริษัทดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามสัญญา เป็นผลให้ประเทศอินโดนีเซียไม่ทำการค้าขายข้าวกับองค์การคลังสินค้าอีกและเสียหายต่อความสัมพันธ์ในการค้าขายข้าวระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดนีเชีย
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาฯ วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ไม่ได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากข้อมูลการซื้อขายข้าว ส่งมอบข้าวและข้อมูลที่เกี่ยวข้อง นายภูมิ สาระผล ซึ่งเป็นรมช.พาณิชย์ (ในสมัยนั้น) ทราบเป็นอย่างดี และจำเลยรับทราบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านนายภูมิ ส่วนข้อหาสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรงไม่จำเป็นต้องพิจารณาเนื่องจากไม่มีผลต่อคดี
ซึ่งคดีนี้มีรายงานว่าภายหลังอัยการสูงสุดเห็นควรไม่อุทธรณ์เเละเเจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบทางคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีความเห็นเเจ้งกลับมายังอัยการสูงสุดขอให้อุทธรณ์คดีต่อ เเต่อัยการสูงพิจารณายืนยันไม่อุทธรณ์คดีต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา
สำหรับนายกิตติรัตน์ ในขณะนี้เป็น 1 ใน 3 บุคคล ที่มีการเสนอชื่อเป็น ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย
#บอร์ดธปท
#ทุจริตจำนำข้าว