สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายวิลเลียม เอ.ไรน์ช อดีตเจ้าหน้าที่การค้าในยุครัฐบาลอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตันและที่ปรึกษาอาวุโสจาก ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์และนานาชาติ (CSIS)ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า โรงงานผลิตแผงโซล่าเซลล์รายใหญ่บางแห่งของจีนในประเทศเวียดนามอยู่ระหว่างปรับลดกำลังการผลิต พร้อมทั้งปลดแรงงาน หลังสหรัฐฯประกาศขยายมาตรการเก็บภาษีการค้ากับเวียดนามและอีก 3 ประเทศในกลุ่มอาเซียนคือ กัมพูชา มาเลเซียและประเทศไทย
ขณะเดียวกัน บริษัทจีนได้เข้าไปตั้งโรงงานผลิตแผงโซล่าเซลล์หลายแห่งในอินโดนีเซีย และลาว ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับเวียดนาม แต่ไม่มีมาตรการกำแพงภาษีการค้าจากสหรัฐฯ อีกทั้งมีกำลังการผลิตมากคิดเป็นสัดส่วนของแผงโซล่าเซลล์ที่ติดตั้งในสหรัฐฯในปีที่แล้ว ตามรายงานจากรอยเตอร์ ในปัจจุบัน บริษัทโซล่าโซลล์จีนปรับลดกำลังการผลิตโซล่าเซลล์จำนวนมากจากฐานการผลิตที่มีอยู่ในปัจจุบันและก่อสร้างโรงงานในประเทศอื่นๆ หวังเลี่ยงกำแพงภาษีการค้าจากสหรัฐฯ และครองส่วนแบ่งตลาดขนาดใหญ่ในสหรัฐฯและทั่วโลก แม้ว่าสหรัฐฯใช้มาตรการนี้กับประเทศจีนมากว่า 10 ปีแล้ว
ข้อมูลจากบริษัทวิจัย SPV ระบุว่า ประเทศจีนส่งออกร้อยละ 80 ของแผงโซล่าเซลล์ทั่วโลก และมีฐานส่งออกของจีนซึ่งอยู่ในประเทศอื่นๆในเอเชียส่งออกแผงโซล่าเซลล์อีกร้อยละ 20 ตรงข้ามกับ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งสหรัฐฯเป็นผู้นำโลกในด้านการส่งออกแผงโซล่าเซลล์ ข้อมูลการค้าของสหรัฐฯระบุว่า การนำเข้าแผงโซล่าเซลล์ของสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 3 เท่านับแต่สหรัฐฯประกาศใช้มาตรการภาษีนำเข้าในปี 2555 อยู่ที่ 15,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
นักวิเคราะห์ระบุว่าแม้ว่าการนำเข้าแผงโซล่าเซลล์ของสหรัฐฯส่วนใหญ่ไม่ได้นำเข้าจากประเทศจีนโดยตรง แต่ร้อยละ 80 มาจากเวียดนาม ประเทศไทย มาเลเซียและกัมพูชา ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงานของบริษัทจีน
ก่อนหน้านี้ สหรัฐฯประกาศมาตรการภาษีสำหรับการนำเข้าแผงโซล่าเซลล์จาก 4 ประเทศในกลุ่มอาเซียนในปีที่แล้ว คือ เวียดนาม กัมพูชา มาเลเซียและประเทศไทย และขยายมาตรการภาษีอีกครั้งในเดือนต.ค.ปีนี้ เนื่องจากมีข้อร้องเรียนเรื่องการค้าไม่เป็นธรรมจากผู้ประกอบการสหรัฐฯ
#แผงโซล่าเซลล์จีน
#สหรัฐฯ
#กำแพงภาษี