KResearch วิเคราะห์ความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯสูงขึ้น หาก 'ทรัมป์' ชนะเลือกตั้ง

04 พฤศจิกายน 2567, 08:00น.


         การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. 67 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย KResearch รายงานว่า การเลือกตั้งเป็นตัวแปรที่กำหนดทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ ในอีก 4 ปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อไปยังแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าพรรคใดจะชนะการเลือกตั้ง ทั้งสองพรรคมีแนวโน้มที่จะยังคงสานต่อนโยบายการกีดกันการค้ากับจีนแต่ในระดับที่ต่างกัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มการขาดดุลทางการคลังตามนโยบายการใช้จ่ายทางการคลังและภาษีที่แตกต่างกันออกไป ท่ามกลางความท้าทายทางการคลังของสหรัฐฯ ที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ต้องเผชิญจากระดับหนี้สาธารณะ การขาดดุลทางการคลัง และการจ่ายดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สะท้อนภาพชะลอตัวลง ขณะที่ การผ่านร่างกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการคลังยังขี้นอยู่กับเสียงข้างมากในสภาคองเกรส ซึ่งผลการเลือกตั้งสามารถแบ่งได้ 3 กรณี ที่จะส่งผลต่อทิศทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ ค่าเงิน รวมถึงสถานะทางการคลังของสหรัฐฯ ที่แตกต่างกัน ดังนี้



-กรณี 1 พรรครีพับลิกันนำโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง (Republican Sweep):  มีความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ(Stagflation) ในระยะยาวจากมาตรการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้า มาตรการกีดกันแรงงานอพยพ และมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและครัวเรือน คาดว่า จะส่งผลให้การขาดดุลการคลังเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ ค่าเงินดอลลาร์ฯ มีแนวโน้มแข็งค่าในระยะสั้น



-กรณี 2 พรรคเดโมแครตนำโดยนางกมลา แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้งและสามารถครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง (Democratic Sweep): เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจ โดยความเสี่ยงเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ในระดับที่จัดการได้ และการขาดดุลการคลังคาดว่าจะไม่สูงเท่ากรณี 1



-กรณี 3 ไม่มีพรรคไหนครองเสียงข้างมากได้ทั้งสองสภา (Split Congress or Divided Government): ความเสี่ยงภาวะเงินเฟ้อยังมีอยู่ หากนายทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีหน้ายังไม่แน่นอน เนื่องจาก นโยบายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายทางการคลังอาจต้องใช้เวลากว่าจะผ่านมติสภา



 



#เลือกตั้งสหรัฐ



Cr.ขอบคุณข้อมูล-ภาพ KResearch 



 

ข่าวทั้งหมด

X