ไอเอ็มเอฟ เตือนสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน จะส่งผลกระทบต่อทุกคน

          นางกิตา โกปินาถ รองกรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ กล่าวว่าความตึงเครียดด้านการค้าและภาษีศุลกากรที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างสหรัฐฯกับจีน จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ทุกประเทศมีผลผลิตลดลง เกิดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ แต่หากทั้ง 2 ฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ดี จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้ง 2 ฝ่าย รวมไปถึงประเทศอื่นๆ ด้วย

          ผู้บริหารไอเอ็มเอฟกล่าวว่า สงครามการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก จะทำให้มูลค่าของเศรษฐกิจโลกหายไปประมาณร้อยละ 7 หรือเทียบเท่ากับเศรษฐกิจฝรั่งเศสและเยอรมนี

          นางโกปินาถ กล่าวว่า การค้าในปัจจุบันขับเคลื่อนโดยภูมิรัฐศาสตร์เมื่อสหรัฐฯกับจีนมีการค้าขายระหว่างกันน้อยลง การค้าบางส่วนก็ถูกส่งต่อไปยังประเทศอื่น โดยในปีนี้ (2567) ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหภาพยุโรปและจีนยังทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปต่างขึ้นภาษีนำเข้าจากจีน โดยอ้างว่ามีการค้าที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งจีนก็ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป

          มีความกังวลมากขึ้นว่า จะเกิดสงครามการค้าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ และตัวแทนพรรครีพับลิกันชนะเลือกตั้งกลับมาดำรงตำแหน่งเป็นสมัยที่ 2 เขามีนโยบายภาษีที่สำคัญคือการจัดเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าสูงถึงร้อยละ 20 ทำให้สหภาพยุโรปพิจารณาเรื่องการขึ้นภาษีศุลกากรเช่นกัน

          เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นางคริสตาลินา จอร์เจียวา กรรมการผู้จัดการของไอเอ็มเอฟ กล่าวว่าการค้าระหว่างประเทศจะไม่ใช่เครื่องมือผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตอีกต่อไป และมาตรการตอบโต้ทางการค้าอาจสร้างความเสียหายต่อผู้ที่ใช้มาตรการเหล่านี้ได้มากเท่าๆ กับเป้าหมาย

          เมื่อวันอังคาร (23 ต.ค.) ไอเอ็มเอฟ เผยแพร่รายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ระบุว่าการใช้นโยบายปกป้องทางการค้าอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยอาจขยายตัวที่ระดับร้อยละ 3.2 ทั้งในปี 2567 และ 2568 โดยได้แรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐที่จะขยายตัวร้อยละ 2.8 ในปี 2567 จากนั้นจะชะลอตัวสู่ระดับร้อยละ 2.2 ในปี 2568 แต่ยังต้องระวังความผันผวนในตลาดการเงินและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก

…

#ไอเอ็มเอฟ

#จีน

#สหรัฐอเมริกา

#เศรษฐกิจ