ทำเนียบขาว รายงานว่า การที่อิหร่าน โจมตีอิสราเอลเมื่อวันอังคาร(1 ต.ค.67) ถือเป็นการยกระดับความรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญ เรือพิฆาตของกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ยิงขีปนาวุธสกัดกั้นขีปนาวุธของอิหร่าน ประมาณ 12 ลูก
พ.อ.แพท ไรเดอร์ โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวว่า การโจมตีของอิหร่านมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของการโจมตีของอิหร่านในเดือนเมษายน
นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติ ติดตามสถานการณ์ในห้องประชุมของทำเนียบขาว ตามรายงานของทำเนียบขาว ระบุว่า ได้ตรวจสอบสถานะการเตรียมการของสหรัฐฯ เพื่อช่วยอิสราเอลป้องกันการโจมตีเหล่านี้ และปกป้องบุคลากรของสหรัฐฯ ในภูมิภาค
นางแฮร์ริส ประณามการโจมตีของอิหร่านและกล่าวว่าเธอสนับสนุนการตัดสินใจของนายไบเดน ที่จะสั่งให้กองทัพสหรัฐฯ ช่วยเหลืออิสราเอลยิงขีปนาวุธของอิหร่าน พร้อมทั้งได้กล่าวระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ที่ Josephine Butler Parks Center ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า อิหร่านคือพลังที่ก่อความไม่สงบและอันตรายในตะวันออกกลาง และการโจมตีอิสราเอลก็ยิ่งพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าวมากขึ้นไปอีก
เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี และสหภาพยุโรป(อียู) ต่างประณามอิหร่าน พร้อมเตือนว่าอาจเกิดผลเลวร้ายต่อภูมิภาคในวงกว้าง
จากรายงานของสำนักงานงานของนายเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกฯสหราชอาณาจักร รายงานว่า นายสตาร์เมอร์ โทรศัพท์คุยกับนายเนทันยาฮู ทันที เมื่อเกิดเหตุขึ้น
ด้านนางแอนนาเลน่า แบร์บ็อค รัฐมนตรีต่างประเทศเยอรมนี โพสต์ข้อความผ่าน X เตือนอิหร่าน ต้องหยุดการโจมตีทันที การกระทำดังกล่าวจะทำให้ภูมิภาคนี้ไปสู่จุดจบที่เลวร้ายยิ่งขึ้น
นายมิเชล บาร์เนียร์ นายกฯฝรั่งเศส กล่าวว่า เป็นสถานการณ์ที่ร้ายแรงอย่างยิ่งในตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านและอิสราเอล
นายโจเซฟ บอร์เรล นักการทูตระดับสูงของอียู เตือนว่า กำลังเกิดวัฏจักรอันตรายของการโจมตีและการตอบโต้ เสี่ยงที่จะลุกลามเกินการควบคุม และเน้นย้ำว่าจำเป็นต้องมีการหยุดยิงทั่วทั้งภูมิภาคทันที
#อิหร่านโจมตีอิสราเอล
Cr.White House