+++วิกฤติไวรัสเมอร์สในเกาหลีใต้ ทำให้ประธานาธิบดีปักกึนเฮ ของเกาหลีใต้ ต้องเลื่อนแผนการเดินทางเยือนสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้าออกไปก่อน เพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์ส ซึ่งมีต้นตอมาจากชายชาวเกาหลีใต้วัย 68 ปีคนหนึ่ง ที่ไปติดเชื้อเมอร์สมาจากตะวันออกกลาง และเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 4 แห่งในเกาหลีใต้ โดยไม่มีการแยกตัวออกจากผู้ป่วยคนอื่น ส่งผลให้เชื้อเมอร์สระบาดไปยังผู้ป่วยอื่นๆ และเจ้าหน้าที่แพทย์จำนวนมาก รวมถึงหมอด้วย เวลานี้เกาหลีใต้ต้องสั่งปิดโรงเรียนเพิ่มเป็น 2,500 แห่งแล้ว ขณะที่ผลกระทบจากเชื้อไวรัสเมอร์สเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจเกาหลี
+++คณะทำงานร่วมของเกาหลีใต้และองค์การอนามัยโลก(ดับเบิลยูเอชโอ)เสนอแนะว่าโรงเรียนต่างๆควรจะเปิดการเรียนการสอนตามปกติ ระบุว่าโรงเรียนไม่น่าจะเป็นแหล่งแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์สดังที่คณะกรรมการการศึกษาเสนอแนะและสั่งปิดโรงเรียนเพิ่มอีกหลายแห่งก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ประกาศจัดตั้งกองทุน 4 แสนล้านวอน เพื่อช่วยเหลือภาคธุรกิจและท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์ส
+++ผู้หญิงคนหนึ่ง ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลฮ่องกง โดยสงสัยว่าเธออาจติดเชื้อไวรัสเมอร์ส เนื่องจากมีน้ำมูกไหลและเกิดขึ้นภายหลังเดินทางจากเกาหลีใต้กลับมายังเมืองทางใต้ของจีน แถลงการณ์รัฐบาลฮ่องกง ระบุว่า ศูนย์สาธารณสุขได้รับรายงานผู้ต้องสงสัยติดเชื้อไวรัสเมอร์สเป็นหญิงวัย 22 ปีซึ่งเดินทางไปเกาหลีใต้ระหว่างวันที่ 23-27 พ.ค. มีน้ำมูกและไข้ตั้งแต่เมื่อ 7-9 มิ.ย. ขณะนี้ได้รับการแยกกักโรคที่โรงพยาบาลและอาการทรงตัว เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องสวมอุปกรณ์ป้องกันในการดูแล ขณะปิดกั้นพื้นที่โดยรอบคลินิก ก่อนหน้านี้ฮ่องกงกักโรค 19 คนเพื่อป้องกันโรคไวรัสเมอร์สไว้ก่อน และแยกกักโรคผู้ต้องสงสัยแต่ภายหลังพบว่าไม่ได้ติดเชื้อ
+++ประธานาธิบดีบารัค โอบามาผู้นำสหรัฐฯ ออกคำสั่งจัดส่งกำลังพลสหรัฐฯสูงสุด 450 นายเข้าไปในอิรักเพิ่มขึ้นอีก และจัดตั้งฐานฝึกแห่งใหม่ในจังหวัดอันบาร์ เพื่อช่วยฟื้นฟูกองกำลังอิรักเตรียมการต่อสู้เพื่อยึดคืนดินแดนที่สูญเสียไปจากการยึดครองของกลุ่มรัฐอิสลาม(ไอเอส) เป็นแผนเสริมกำลังพลเพิ่มเติมจาก 3,100 นายที่กำลังปฏิบัติภารกิจช่วยฝึกฝนและให้คำปรึกษาอยู่ในอิรักขณะนี้ แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ของนายโอบามา ซึ่งกำลังเผชิญแรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นไปตามคำร้องขอของนายไฮเดอร์ อัล-อาบาดี นายกฯอิรัก หลังจากสองผู้นำมีโอกาสหารือกัน ณ รอบนอกเวทีการประชุมจี 7 ที่เยอรมนีเมื่อช่วงต้นสัปดาห์
+++สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ว่า การหารือร่วมกันระหว่างพรรคการเมืองต่างๆ ของนอร์เวย์ เกี่ยวกับการรับผู้อพยพ ได้ข้อยุติลงแล้วโดยมีมติจะให้ที่พักพิงแก่ผู้ลี้ภัยชาวซีเรีย 8,000 คน ภายในสิ้นปี 2560 ในการหารือครั้งนี้ พรรคการเมืองฝ่ายขวาเสียงข้างน้อยในรัฐบาล มีจุดยืนคัดค้านการรับผู้อพยพเพิ่ม ขณะที่พรรคฝ่ายซ้ายและพรรคแนวกลางต้องการให้มีการรับเพิ่มอีก 10,000 คน ภายใน 2 ปี ตามข้อตกลงจะแบ่งสัดส่วนเป็น 2,000 คนภายในปีนี้ และอีกปีละ 3,000 คน ในปี 2559 และ 2560 สภาผู้อพยพนอร์เวย์ (เอ็นอาร์ซี) แถลงว่า ข้อตกลงดังกล่าวนับเป็นก้าวที่สำคัญ และเรียกร้องให้ชาติยุโรปอื่นดำเนินการตาม เพราะที่ผ่านมา หากไม่นับรวมเยอรมนีแล้ว ถือว่าประเทศต่างๆในยุโรปยังมีส่วนร่วมน้อยมากในการช่วยเยียวยาปัญหาด้านมนุษยธรรมครั้งนี้ ปัจจุบันมีชาวซีเรียลี้ภัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านเกือบ 4 ล้านคน
+++หญิงชาวฝรั่งเศสจากเมืองนีซ ทางตอนใต้ของประเทศ ยื่นฟ้องรัฐบาลฝรั่งเศส ฐานปล่อยปละละเลยไม่ป้องกันไม่ให้ลูกชายของเธอเดินทางไปเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอสในซีเรีย โดยเรียกค่าเสียหายในนามของเธอและลูกอีก 3 คน 1 แสน 10,000 ยูโร หรือประมาณ 4.1 ล้านบาท ลูกชายของหญิงคนดังกล่าว ใช้นามสมมติว่า บี อายุ 16 ปี หายออกจากบ้านเมื่อวันที่ 27 ธ.ค. 2556 และเดินทางไปยังตุรกีพร้อมกับเพื่อนร่วมทางอีก 3 คน ก่อนจะเดินทางต่อเข้าไปยังซีเรีย ผู้หญิงคนนี้ เปิดเผยว่า เพิ่งได้คุยทางโทรศัพท์กับลูกชายและได้ทราบว่าเขาเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส เธอระบุว่า ทราบถึงอุดมการณ์ของลูกชายเพียงไม่กี่วันก่อนเขาหายตัวไป โดยหลังผ่านไปราว 24 ชั่วโมง เธอได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ
+++นางซาเมีย มัคโตฟ ทนายความของโจทก์กล่าวว่า เป็นความผิดพลาดร้ายแรงของเจ้าหน้าที่ ที่ปล่อยให้ผู้เยาว์ซึ่งเดินทางลำพัง ไม่มีสัมภาระ และถือตั๋วเที่ยวเดียวไปตุรกี ออกนอกประเทศไปโดยไม่มีการตั้งข้อสงสัย โดยหญิงคนนี้กล่าวว่า เงินไม่ใช่ประเด็นหลักในการฟ้องร้องครั้งนี้ แต่เธอต้องการชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
+++นายแบร์นาร์ด เกซเนิฟ รมว.มหาดไทยฝรั่งเศส ได้มีหนังสือไปถึงครอบครัวผู้เสียหาย ระบุว่า การเข้าร่วมกลุ่มไอเอสของนายบี ไม่ใช่ความรับผิดชอบของรัฐบาล เนื่องจากนายบีไม่อยู่ในรายชื่อต้องสงสัยที่ถูกสืบสวน เจ้าหน้าที่จึงไม่มีอำนาจในการห้ามไม่ให้เขาเดินทางได้
+++รายงานจากคณะกรรมาธิการยุโรปฝ่ายงานยุติธรรมเมื่อเดือน เม.ย. ระบุว่า มีพลเมืองยุโรปราว 5,000 - 6,000 คน เดินทางไปเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอสในซีเรีย ในจำนวนนี้เป็นชาวฝรั่งเศสราว 1,450 คน
+++สำนักข่าวเอจีไอของอิตาลี รายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย เดินทางไปอิตาลี เพื่อเยือนเมืองมิลานและกรุงโรม เป็นการปฎิบัติภาระกิจด้านการทูต ผู้นำรัสเซีย พร้อมด้วยนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เร็นซีของอิตาลี จะเดินทางไปเยือนงานมิลานเอ็กซ์โป ซึ่งนายปูตินจะเยือนอาคารแสดงนิทรรศการของรัสเซียและเปิดงานวันชาติวัสเซียในงานนี้ด้วย ส่วนในช่วงบ่าย นายปูตินจะเดินทางไปยังกรุงโรม ในโอกาสนี้ประธานาธิบดีเซอร์จิโอ มัตตาเรลลาของอิตาลีจะให้การต้อนรับผู้นำรัสเซียที่ทำเนียบควิรินาเลด้วย นอกจากนี้ นายปูตินจะพบปะกับอดีตนายกรัฐมนตรีซิลวิโอ แบร์ลุสโคนีของอิตาลี
+++การเดินทางเยือนจีนของผู้นำฝ่ายค้านของเมียนมาร์ นายหง เล่ย โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าวว่า จีนไม่มีเหตุผลที่จะเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาของศาลที่สั่งจำคุกนายหลิว เสี่ยวโป ผู้คว้ารางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ขณะที่นางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านของเมียนมาร์และเพื่อนผู้คว้ารางวัลโนเบลเช่นเดียวกับนายหลิวไปถึงกรุงปักกิ่ง เพื่อเยือนจีนเป็นครั้งแรก นักเคลื่อนไหวหลายคนเพิ่มแรงกดดันให้กับนางซูจี หยิบยกกรณีการกักขังนายหลิวขึ้นหารือระหว่างการพบปะกับผู้นำจีน ซึ่งอาจจะสร้างความอับอายให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่บริหารประเทศในขณะนี้ สำหรับนายหลิว ถูกจำคุก 11 ปีเมื่อปี 2552 ในข้อหาขัดขืนคำสั่งของรัฐบาล ก่อนหน้านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับเมียนมาร์ตึงเครียดขึ้นในปีนี้ หลังทหารเมียนมาร์ยิงปืนใหญ่พลัดหลงไปตกในมณฑลยูนนาน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ขณะสู้รบกับกลุ่มกบฏ มีคนเสียชีวิต 5 ศพเมื่อเดือนมี.ค.
+++แถลงการณ์ของรัฐบาลกรีซ ระบุว่า เจ้าหนี้นานาชาติคือ สหภาพยุโรป(อียู)และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ)ยังไม่ให้คำตอบต่อข้อเสนอล่าสุดเรื่องการปฏิรูปงบประมาณและแผนแก้ปัญหาหนี้สาธารณะที่กรีซเสนอต่อนายปิแอร์ มอสโควิซี กรรมาธิการด้านเศรษฐกิจของอียูเมื่อวันจันทร์ เพื่อผ่าทางตันในเรื่องข้อตกลงเงินสดแลกกับการปฏิรูป ถึงแม้ว่าจะมีการแสดงทัศนะแง่ลบเป็นการส่วนตัวของเจ้าหน้าที่บางคนของอียู ขณะที่การเจรจาเรื่องข้อตกลงเพื่อช่วยป้องกันไม่ให้กรีซผิดนัดชำระหนี้ได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญ
+++แหล่งข่าวจากรัฐบาลฝรั่งเศสกล่าวว่าจะไม่มีการประชุมกันระหว่างนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิลของเยอรมนี ประธานาธิบดีฟรองซัวส์ ออลลองด์ของฝรั่งเศสและนายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซีปราสของกรีซ ที่กรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม ตามที่วางแผนไว้
+++องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) มีมติในที่ประชุมที่กรุงปารีสของฝรั่งเศส ขึ้นทะเบียนทะเลสาบอินเล เป็นพื้นที่สงวนชีวมณฑล ซึ่งนับเป็นแห่งแรกของเมียนมาร์ พิจารณาจากความหลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการอยู่ร่วมกันของชาวบ้านและธรรมชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ระบบนิเวศ และส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ปัจจุบันมีพื้นที่สงวนชีวมณฑลทั่วโลกราว 630 แห่ง ทะเลสาบอินเล ตั้งอยู่ในรัฐฉาน ทางตะวันออกของประเทศ กินพื้นที่กว่า 3 ล้านไร่ เป็นที่อยู่อาศัยของนกนานาชนิดราว 267 สายพันธุ์ รวมถึงปลาและสัตว์ป่าอีกจำนวนมาก ชาวบ้านใช้ประโยชน์จากพื้นที่ในการทำเกษตรและประมง โดยมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะเช่นการทำสวนลอยน้ำ ขณะที่ชาวประมงก็มีรูปแบบการจับปลาที่ไม่เหมือนใครด้วยการใช้ขาข้างหนึ่งพายเรือ ความสมบูรณ์ของธรรมชาติทำให้ทะเลสาบอินเลเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ แต่ในช่วงหลายปี ทะเลสาบอินเลต้องเผชิญกับภัยแล้งอย่างหนักหน่วง ส่งผลให้ระดับน้ำลดลงจนเป็นอุปสรรคต่อการสัญจรทางน้ำ และกระทบต่อทุกชีวิตที่อาศัยพึ่งพิงแหล่งน้ำแห่งนี้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก และการทำลายพื้นที่ป่า