การจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานร นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคประชุมแนวทางใช้วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษวานร (Mpox) ในประเทศไทย โดยคณะอนุกรรมการฯ พิจารณาเห็นว่า เพื่อเป็นการควบคุมโรค แต่เนื่องจากวัคซีนป้องกันฝีดาษวานรยังไม่ได้มีการขึ้นทะเบียนในประเทศไทย กรมควบคุมโรคจึงใช้ มาตรา 13(5) เพื่อการควบคุมโรค ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยา พ.ศ.2510 จะมีการใช้งบประมาณ กรมควบคุมโรค วงเงิน 21 ล้านบาท เพื่อการจัดซื้อวัคซีนดังกล่าว รวม 3,000 โดส
เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเสี่ยง 3 กลุ่มคือ
1.บุคลากรทางการแพทย์ที่เสี่ยงต่อการติดโรค อาทิ ไปสัมผัสเสี่ยงสูง คือสัมผัสคนติดเชื้อ
2.กลุ่มไปสัมผัสโรค เสี่ยงว่าจะติดเชื้อ ก็จะฉีดภายใน 4 วัน และ
3.มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดคนติดเชื้อ เช่น คนในครอบครัวที่ติดเชื้อ ส่วนอีกกลุ่มที่จะเดินทางไปประเทศที่มีการระบาดของโรคนั้น อาจจะต้องฉีดโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งปัจจุบันมีที่สภากาชาด
จากนี้จะต้องทำเรื่องให้กับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ เพื่อดำเนินการจัดซื้อต่อไป ทั้งนี้หลังดำเนินการสั่งซื้อแล้วต้องรออีกประมาณ 4 เดือน ถึงจะมีวัคซีนเข้ามาใช้ในประเทศ
ส่วนผู้เสียชีวิต สะสม 13 ราย พบว่า เป็นผู้ป่วยเอชไอวีร่วมด้วย ที่เป็นสายพันธุ์เคลด 2 ปีที่แล้วพบป่วย 673 ราย แต่ในปีนี้พบป่วยลดลงลง เหลือ 146 ราย ในกลุ่มเดิมๆ พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ไม่มีการแพร่กระจาย ดังนั้นความจำเป็นต้องได้รับวัคซีนต่ำมาก จึงฉีดให้เฉพาะกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น”
สำหรับสายพันธุ์ เคลด 1บี ที่องค์การอนามัยโลกเตือนและไทยพบผู้ติดเชื้อรายแรกนั้น รักษาหายแล้ว ขณะที่คนใกล้ชิด 43 คน ก็ครบกำหนดติดตามแล้ว ไม่มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม แปลว่า ไม่มีการระบาด หรือติดเชื้อในประเทศไทย
แต่ประเทศไทยยังมีโอกาสพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ดังกล่าวเข้ามาแน่ๆ แม้ว่า โรคฝีดาษวานรจะมีอัตราการแพร่ระบาดต่ำ การแพร่โรคไม่สูง ต้องสัมผัสใกล้ชิดกันจริง ๆ อาการของโรคไม่มีไอ ไม่มีน้ำมูก โอกาสจะระบาดใหญ่ หรือระบาดมาก
#ฝีดาษวานร