การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 วาระ2-3 แบบรายมาตรา นายวีระ ธีระภัทรานนท์ กรรมาธิการวิสามัญฯ ลุกขึ้นอภิปราย มาตรา 4 ขอลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่ตั้งไว้ 3,752,700 ล้านบาท เหลือ 3,565,000 ล้านบาท โดยระบุว่า งบ 2568 มีที่มาจาก 2 ทางด้วยกัน ได้แก่ รายได้ที่คาดว่าจะจัดเก็บได้ 287,000 ล้านบาท และมาจากการกู้เงินเพื่อชดเชยรายได้ที่ไม่เพียงพอ 865,000 ล้านบาท
พูดแบบชาวบ้านก็คือ เงินกูไม่พอ เลยต้องใช้เงินกู้มาเติม ตรงนี้ผมมีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกรัฐบาลจัดงบประมาณขาดดุล แล้วก็กู้เงินชดเชยการขาดดุลงบประมาณมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จนทำให้ภาระหนี้สินในรูปของหนี้สาธารณะพอกพูนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การทำงบประมาณแบบขาดดุลเรื้อรังดังกล่าว สร้างความวิตกกังวลให้กับผู้ที่ห่วงใยฐานะการเงินการคลังของประเทศในอนาคตเป็นอันมาก หนึ่งในนั้นคือผม
สิ่งที่เราเห็นต่อเนื่องคือรายจ่ายประจำไม่ได้ลดลง ตรงกันข้ามกลับเพิ่มขึ้นโดยตลอด ทำให้เรามาถึงจุดอันตราย ขณะนี้รายจ่ายที่ยากจะตัดทอน เงินทุกบาททุกสตางค์ของรัฐบาลที่จะดำเนินการผ่านงบประมาณรายจ่ายล้วนเป็นเงินกู้ที่มีภาระจะต้องหาเงินต้นและดอกเบี้ยมาชำระคืนในอนาคตทั้งหมด หนี้ของรัฐบาลเป็นเช่นไร หนี้ของประชาชนก็เป็นเช่นนั้น
ใครที่พอจะเข้าใจเรื่องการเงินการคลังที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีในแต่ละปีที่ผ่านมาและในอนาคต ย่อมรู้ดีว่านี่คือสัญญาณอันตรายที่จะเกิดวิกฤติการคลังในอนาคต ซึ่งจะส่งเสียงดังมากขึ้นและมีความถี่มากขึ้นทุกขณะ
การทำถูกกฎหมายหรือการทำตามกฎหมายอย่างครบถ้วนนั้น ที่เราชอบพูดกันว่าอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด ไม่ได้แปลว่าจะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด ตรงกันข้าม การทำตามกฎหมายอย่างครบถ้วนก็สามารถนำไปสู่วิกฤติและหายนะได้เช่นกัน หากกระทำอย่างไม่ระมัดระวังและรอบคอบ
นายวีระ ย้ำว่า เท่าที่ตนติดตามการทำงบประมาณอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10 ปี ตนอยากบอกว่าบัดนี้ ประเทศเราได้ติดกับดักการจัดทำงบประมาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ภาระทางการคลังเพิ่มขึ้นทุกปี โดยงบประมาณปี 2568 มีการตั้งค่าใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐสูงถึง 410,253 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการชำระคืนเงินต้นเพียงแค่ 150,000 ล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย ยังไม่ต้องพูดถึงการชำระคืนหนี้ให้สถาบันการเงินของรัฐที่ออกเงินแทนรัฐบาลไปก่อนซึ่งเป็นรายการงบประมาณที่มียอดคงค้างไม่น้อยกว่า 1 ล้านล้านบาท นี่คือการเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถานะการเงินการคลังของรัฐ ในปัจจุบันและอนาคตอย่างแท้จริง ถ้าหากไม่ยับยั้งหรือบริหารจัดการแก้ปัญหาเสียตั้งแต่ต้นมือ สิ่งที่เป็นภาระทางการคลังก็จะกลายเป็นความเสี่ยงทางการ
นอกจากนั้น นายวีระ ได้แนะนำ วิธีการรับมือกับภาวะการเงินการคลัง นับปี 69 ต้องทำงบ แบบไม่เพิ่มรายจ่ายอีกแล้วอย่างน้อย 3 ปี จนกว่าภาระและความเสี่ยงทางการคลังจะลดลงบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม หยุดสร้างภาระทางการคลังในอนาคต ด้วยการใช้มาตรการกึ่งการคลัง โดยให้สถาบันการเงินของรัฐ ออกเงินแทนรัฐบาลไปก่อน แล้วตั้งงบประมาณใช้คืน เงินต้นและดอกเบี้ย ตามมาตรา 28 พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง รวมทั้งการชำระใช้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยให้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ หากไม่เร่งแก้ไข สุดท้ายนำไปสู่วิกฤติการคลังได้ในที่สุด เราอาจจะต้องประสบวิกฤติการคลังในอนาคตที่เราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนในการแก้ไขอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
#งบปี68
ขอบคุณ ภาพจากวิทยุและโทรทัศน์ รัฐสภา