การชี้มูลความผิดอดีตผู้บังคับการตำรวจน้ำ นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด นายบุญสืบ ไพรเถื่อน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจน้ำ กองบังคับการตำรวจน้ำกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่ำรวยผิดปกติ จากคดีส่วยน้ำมันเถื่อน
โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวนปรากฏว่า นายบุญสืบ ขณะดำรงตำแหน่งรักษาการแทนในตำแหน่ง ผู้บังคับการตำรวจน้ำ โดยพบว่า มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ สืบเนื่องจากการเรียกรับเงิน จากผู้ลักลอบจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงโดยผิดกฎหมาย และผู้ประกอบการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหลายรายเป็นรายเดือน มีการนำเงินฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตนและคู่สมรส และมีการนำเงินไปชำระเบี้ยประกันชีวิต รวมจำนวน 36,770,717.76 บาท ประกอบด้วย
1. บัญชีธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาสีลม ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายบุญสืบ ไพรเถื่อน จำนวน 10 รายการ รวมเป็นเงิน 2,369,455 บาท
2.บัญชีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาประชานิเวศน์ 1 ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายบุญสืบ ไพรเถื่อน จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 2,503,750 บาท
3.บัญชีธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สาขามาบุญครอง ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นายบุญสืบ ไพรเถื่อน จำนวน 9 รายการ รวมเป็นเงิน 1,400,000 บาท
4.บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชานิเวศน์ 1 ประเภทออมทรัพย์ ชื่อบัญชี นางจุฑามาส ไพรเถื่อนคู่สมรส จำนวน 128 รายการ รวมเป็นเงิน 23,456,162.76 บาท
5. บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาประชานิเวศน์ 1 ประเภทประจำ 3 เดือน ชื่อบัญชี นางจุฑามาส ไพรเถื่อน คู่สมรส จำนวน 1 รายการ จำนวน 5,000,000 บาท และ
6. เงินที่ชำระเบี้ยประกันชีวิตกับบริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,041,350 บาท
นายนิวัติไชย กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมตินายบุญสืบ ร่ำรวยผิดปกติ โดยมีทรัพย์สินมากผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติตามหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ รวมมูลค่า 36,770,717.76 บาท
โดยให้ส่งรายงาน สำนวนการไต่สวน เอกสาร พยานหลักฐาน และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดิน และให้ส่งคำวินิจฉัย พร้อมด้วยข้อเท็จจริงโดยสรุป ไปยังผู้บังคับบัญชา เพื่อสั่งลงโทษไล่ออกภายใน 60 วัน โดยให้ถือว่ากระทำการทุจริตต่อหน้าที่ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 122 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม หากไม่สามารถบังคับเอาแก่ทรัพย์สินที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าร่ำรวยผิดปกติตกเป็นของแผ่นดินได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้ว ให้ขอให้ศาลบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์สินอื่นของผู้ถูกกล่าวหาได้ภายใน ระยะเวลา 10 ปี ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 125
นอกจากนั้น ป.ป.ช. ยังได้ชี้มูลร่ำรวยผิดปกติ ตำรวจอีก 2 นาย คือ พันตำรวจเอก นพดล นิลมานนท์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด รวมมูลค่า 72,438,888 บาท และ พันตำรวจเอกหญิง เพชราภรณ์ มงพลเมือง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้บังคับการ กองบังคับการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด รวมมูลค่า 2,913,200 บาท
สำหรับนายบุญสืบ ถูกถอดยศและเรียกคืน เครื่องอิสริยาภรณ์ เมื่อปี 2558 ตามเอกสารของราชกิจจานุเบกษา
อ่านข่าวเพิ่มเติม: https://www.js100.com/en/site/news/view/19731
#อดีตตำรวจน้ำ
#ร่ำรวยผิดปกติ
แฟ้มภาพ