นาย โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 78ปี กล่าวสุนทรพจน์ตอบรับการเสนอชื่อเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 3 โดยมีนายเจดี แวนซ์ อายุ 39 ปี เป็นรองประธานาธิบดี ในการประชุมใหญ่วันสุดท้ายที่ไฟเซิร์ฟ ฟอรั่ม (Fiserv Forum) มิลวอกี รัฐวิสคอนซิน จากที่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม ตัวแทนรีพับลิกันจากทั่วประเทศราว 2,400 คน รับรองนายทรัมป์และนายแวนซ์อย่างเป็นทางการ
การประชุมในวันนี้ เขาได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ และให้คำมั่นว่าจะเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายนนี้ เพื่อเป็นประธานาธิบดีของชาวอเมริกันทุกคน นำอเมริกาเข้าสู่ความยิ่งใหญ่อีก 4 ปี พร้อมเรียกร้องให้ทุกคนมีความสามัคคี เขากล่าวว่า ความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมจะต้องได้รับการเยียวยา ในฐานะชาวอเมริกัน เราผูกพันกันด้วยโชคชะตาเดียวกัน และต้องลุกขึ้นยืนด้วยกัน มิฉะนั้นก็จะพังทลาย
นายทรัมป์เล่าถึงเหตุการณ์พยายามลอบสังหารอย่างละเอียดเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดเหตุขึ้นที่เพนซิลเวเนีย และว่าจะไม่เล่าเรื่องนี้อีกเป็นครั้งที่สอง เพราะเป็นความเจ็บปวดเกินกว่าจะรับรู้ได้ เขาได้ยินเสียงหวีดร้อง และรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกระแทกเข้าที่หูขวา เมื่อยกมือขวาแตะที่หูก็พบว่ามือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด จึงรู้ตัวว่าเป็นเหตุที่ร้ายแรงมาก และกล่าวขอบคุณทุกคนที่มอบความรักและให้การสนับสนุน และกล่าวว่า ที่ยังอยู่กับทุกคนในวันนี้ ด้วยพระเมตตาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น
ที่ประชุมยังร่วมไว้อาลัยให้กับนายคอเรย์ คอมเพราทัว หัวหน้านักดับเพลิงที่เสียชีวิตจากการปกป้องครอบครัว ซึ่งนายทรัมป์ยกย่องว่า เป็นการเสียสละตนเองโดยทำหน้าที่เป็นโล่มนุษย์เพื่อปกป้องครอบครัว
เขากล่าวว่า ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงแล้ว ประเด็นปัญหาต่างๆ ในปัจจุบันนี้เกิดจากนโยบายของพรรคเดโมแครต ทั้งเงินเฟ้อ การอพยพที่ผิดกฎหมาย และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ นายทรัมป์ให้คำมั่นว่าในการทำงานในวาระที่ 2 เขาจะลดค่าใช้จ่ายครัวเรือนทั้งค่าอาหารและเชื้อเพลิง เพื่อยุติปัญหาเงินเฟ้อ การเพิ่มตำแหน่งงานด้านยานยนต์ผ่านมาตรการภาษี และภาษีศุลกากรเพื่อให้อุตสาหกรรมยานยนต์สหรัฐฯ กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่เขากล่าวว่าจะไม่มีการแก้ไขโครงการประกันสังคมและประกันสุขภาพ ส่วนการป้องกันชายแดน เขาให้คำมั่นว่าจะปิดชายแดนตั้งแต่ในวันแรกที่รับตำแหน่ง และจะสร้างกำแพงชายแดนทางใต้ให้เสร็จสิ้น เพื่อเปิดปฏิบัติการเนรเทศที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ
ตลอดคำกล่าวในคืนนี้ตามเวลาท้องถิ่น นายทรัมป์ กล่าวถึง นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนปัจจุบันจากเดโมแครต เพียงครั้งเดียวเท่านั้นแต่เป็นการเอ่ยชื่อโดยที่ไม่ได้ออกเสียง (ad lib) และบอกว่า เขาจะไม่พูดถึงชื่อนี้อีกต่อไป
คำกล่าวสุนทรพจน์ของทรัมป์ในวันนี้มีผู้ติดตามทางโทรทัศน์และออนไลน์จำนวนนับล้านคน และสมาชิกพรรคประมาณ 50,000 คนที่เข้าร่วมการประชุม
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมใหญ่พรรครีพับลิกันครั้งนี้ นางเมลาเนีย ทรัมป์ ภริยาของนายทรัมป์ไม่ได้กล่าวสุนทรพจน์ หรือเสนอชื่อผู้สมัคร ซึ่งเป็นอีกข้อแตกต่างจากงานประชุมทุกครั้ง แต่เธอและสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดขึ้นไปแสดงความยินดีกับนายทรัมป์เมื่อเขากล่าวสุนทรพจน์จบ
เป็นครั้งแรกที่นายทรัมป์มีอำนาจควบคุมพรรคทั้งหมด หลังจากที่การประชุมในปี 2559 ยังมีการแสดงออกที่เป็นการแบ่งแยกภายในพรรค ส่วนการปรากฏตัวครั้งที่สองในปี 2563 ก็มีสถานการณ์โควิด-19 สื่อในสหรัฐฯตั้งข้อสังเกตว่า นายทรัมป์ได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การโต้วาทีกับนายไบเดน มาจนถึงความพยายามลอบสังหารเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม (2567) ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันเห็นว่า การลงมือของคนร้ายเกิดจากนโยบายของเดโมแครตเอง นอกจากนี้ตัวของนายทรัมป์ยังมีการใช้ถ้อยคำในการหาเสียงที่แสดงให้เห็นถึงเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น ด้วยการชูนโยบาย "รวมประเทศของเราให้เป็นหนึ่งเดียว" เพิ่มเติมจากนโยบาย “ยุคทองใหม่ของอเมริกา”
…
#โดนัลด์ทรัมป์
#สหรัฐอเมริกา
#รีพับลิกัน