'บิ๊กโจ๊ก'ไม่ยอมความคดีหมิ่นโยงเว็บพนัน เตรียมฟ้อง นายกฯ-บิ๊กตำรวจ กรณีไม่เพิกถอนคำสั่งออกจากราชการ

24 มิถุนายน 2567, 14:38น.


           พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รอง ผบ.ตร.) เดินทางมาที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามนัดไต่สวนมูลฟ้องคดีที่ตัวเองเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรณีหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีที่รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนกล่าวหาตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์



           พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เปิดเผยว่า วันนี้เดินทางมาศาลตามนัดไต่สวนมูลฟ้อง เบื้องต้นทราบว่า ฝั่งของพล.ต.ต.จรูญเกียรติ  ขอเลื่อนการนัดไต่สวน คาดว่าจะมาไต่สวนในครั้งหน้า ส่วนที่มีการจงใจใส่ความหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เนื่องจาก ผู้ถูกฟ้องได้นำข้อมูล ซึ่งอยู่ในสำนวนไปให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ทั้งที่รู้ว่าจะต้องมีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ทั้งที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติมีหน้าที่เป็นเพียงพนักงานสอบสวน สิ่งที่ทำได้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 คือการรวบรวมข้อมูล และส่งสำนวนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ไม่ได้มีอำนาจในการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน รวมถึงแสดงความคิดเห็นเชิงวินิจฉัย หรือ พิพากษาคดี ทำให้สังคมเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้กระทำผิดไปแล้ว จึงจำเป็นต้องยื่นฟ้องเพื่อคืนความยุติธรรมให้กับตัวเอง อีกทั้งที่ผ่านมาเคยมีคำวินิจฉัยของศาลฎีกา เคยสั่งจำคุกคดีที่มีผู้ออกมาแสดงความคิดเห็นหรือวินิจฉัยคดีชี้นำสังคมในลักษณะนี้มาแล้ว โดยยืนยันว่าจะไม่มีการยอมความหรือไกล่เกลี่ยอย่างแน่นอน



          ส่วนก่อนหน้านี้เคยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า หากได้กลับเข้ามาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะถอนฟ้องคดีความทั้งหมด แต่กลับยังเดินหน้าฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ,พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ อดีตรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมถึงนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ใช่การกลืนน้ำลาย แต่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง ยืนยัน ไม่ได้เล่นปาหี่ แต่ขณะนี้คำสั่งที่ให้ตนเองออกจากราชการ ซึ่งกฤษฎีกามีคำวินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายและ สั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปดำเนินการแก้ไขนั้นยังคงอยู่ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้รอให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ดำเนินการแก้ไข ตั้งแต่ช่วงที่ดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการ ผบ.ตร. แล้ว แต่กลับยังเพิกเฉย ทำให้ในวันนี้ (24 มิ.ย.) เวลา 11.00 น. จึงจะเดินทางไปร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เอาผิด มาตรา 157 กับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เพราะคำสั่งดังกล่าว จะต้องผ่านขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่มี พล.ต.อ.สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนก่อน ทำให้คำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย



          กรณี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ที่กลับเข้าสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว หากยังไม่ดำเนินการเพิกถอนคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามหน้าที่ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีอำนาจ ก็จะเดินหน้าฟ้องร้องในสัปดาห์หน้าด้วย



          ส่วนผู้เชี่ยวชาญข้อกฎหมาย ที่ให้คำแนะนำกับอนุฯ ก.ตร. ว่า คำสั่งของพล.ต.อ.กิตติ์รัฐนั้นชอบด้วยกฎหมายนั้น ขัดกับคำวินิจฉัยของกฤษฎีกา ซึ่งถือเป็นมือกฎหมายของรัฐบาลนั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยืนยันว่า ตามหลักกฎหมายอนุฯ ก.ตร.ไม่มีหน้าที่วินิจฉัยคำร้องทุกข์ แต่เป็นอำนาจของ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ ที่มีอำนาจใช้ระบบการไต่สวนฟังความทั้ง 2 ด้าน ไม่เหมือนอนุฯ ก.ตร. ที่ฟังความข้างเดียว จึงต้องไปยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ ก.พค.ตร. เพราะสามารถทำได้ 2 ช่องทาง ทั้ง ก.ตร. และ ก.พค.ตร. และเมื่อวันที่ 19 มิ.ย.67 ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ตร. ซึ่งมีอำนาจนำเรื่องเข้าที่ประชุมและพิจารณาได้ ว่า เห็นด้วยหรือไม่ได้ แต่หากนายกรัฐมนตรีเพิกเฉยในการพิจารณา ก็จะดำเนินคดี มาตรา157 กับนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน



           แม้ว่าผลของกฤษฎีกา จะไม่มีผลทางกฎหมาย แต่กฤษฎีกาถือเป็นมือกฎหมายของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาในคดีอื่นๆ ศาลก็รับฟังความเห็นของกฤษฎีกา พร้อมย้ำว่า อย่าลืมว่า องค์คณะกรรมการกฤษฎีกามีใครบ้าง มีทั้งอดีตประธานศาลฎีกา อดีตเลขากฤษฎีกา และปลัดกระทรวงยุติธรรม ฉะนั้นมติ 10:0 ถือว่าเป็นที่สิ้นสุด



          ส่วนจะได้กลับเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อไหร่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า ต้องว่าไปตามกฎหมาย พร้อมบอกว่า ถ้าวันนี้ยังให้ความยุติธรรมกับตัวเองไม่ได้ แล้วจะให้ความยุติธรรมกับตำรวจ และประชาชนได้อย่างไร



         ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หลายฝ่ายมองว่า เรื่องการกลับเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีดีลให้ทุกคนกลับเข้ารับตำแหน่งเหมือนเดิมอยู่แล้ว และจบเหมือนละครแฮปปี้เอนดิ้งใช่หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ตนเองเป็นคนที่ยึดตามหลักการแบบนี้มานานแล้ว เหมือนในอดีตที่เคยฟ้องอดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมย้ำว่ายึดหลักยุติธรรม ซึ่งครั้งนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการกลั่นแกล้ง รังแก ตัดแข้งตัดขา และสังคมก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว



          พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ย้อนถามกลับว่า ทำไมถึงไม่เพิกถอนคำสั่งออกจากข้าราชการ ปล่อยให้เป็น รอง ผบ.ตร. ลอยไปลอยมาแบบนี้ ตามหลักแล้ว สามารถเข้าประชุม ก.ตร. ได้ แต่ไม่เลือกที่จะทำเพราะถือเป็นการให้เกียรติ พร้อมยืนยันว่า ตนเองยังมีสถานะเป็น รอง ผบ.ตร. อยู่ หากตนเองได้กลับไป จะไปดูคำสั่งให้ออกจากราชการที่มีตำรวจถูกสั่งให้ออกราชการ 70-80 นาย ก่อนหน้านี้ว่าเป็นธรรมหรือไม่



         นายกรัฐมนตรี ได้บอกว่า หากส่งทั้งคู่กลับสำนักงานตำรวจแห่งชาติหวังว่าจะปรองดองภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นองค์กรใหญ่ จะปรองดองหรือไม่ขึ้นอยู่กับนายกฯ ซึ่งนายกฯ จะต้องเดินหน้า ปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ลอยตัว ถ้านายกฯ ไม่ตัดสินใจ องค์กรก็จะอยู่ไปแบบนี้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้นำ



         นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกฯ ออกมาแถลงแทนนายกฯ ในคำสั่งย้ายกลับ ผบ.ตร. จะถือเป็นการลอยตัวของนายกฯ หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ บอกว่า นายกฯ จะต้องทำหน้าที่ ถ้าไม่ลอยตัวและตัดสินใจทุกอย่างก็จะไม่เกิด ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับผู้นำ เพราะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่มีรัฐมนตรีประจำกระทรวง ฉะนั้น นายกฯ ก็เปรียบเหมือนรัฐมนตรีประจำกระทรวง เมื่อมีปัญหาจะต้องลงมาแก้ไข



 



#บิ๊กโจ๊ก



แฟ้มภาพ 



 



 



 

ข่าวทั้งหมด

X