ชุดปฏิบัติการผลัดกันขับเรือออกลาดตระเวน เพื่อหาเบาะแสเรือบรรทุกน้ำมันของกลางที่สูญหายไปทั้ง 3 ลำ เข้าสู่วันที่ 3 ตามเส้นทางที่คาดว่า เรือบรรทุกจะใช้เส้นทางหลบหนี พบว่า เรือทั้ง 3 ลำ มุ่งหน้าไปยังประเทศกัมพูชาแล้ว ร.ต.อ.จาตุรงค์ กันธะเรียน รองสว.ส.รน.3 กก.5 บก.รน. สันนิษฐานคาดว่าเรือของกลางน่าจะใช้เส้นทางหลบหนีไปยังประเทศกัมพูชา ซึ่งเส้นทางการเดินเรือหากเริ่มจากอ่าวสัตหีบ จะมุ่งหน้าลงทางทิศใต้ไปก่อน แล้วไปทางแนวตะเข็บชายฝั่งทิศตะวันตก ก่อนจะเลาะไปเรื่อยๆ ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยจะมองเห็นชายฝั่งทางซ้ายมือ
ส่วนระยะทางมุ่งหน้าไปยังประเทศกัมพูชา ระยะทางประมาณ 150 ไมล์ทะเล คาดการณ์ว่าเรือของกลางน่าจะวิ่งอยู่ประมาณประมาณ 6-8 นอต ใช้เวลาโดยประมาณ 15 ชั่วโมง ก็จะไปถึงชายแดนประเทศกัมพูชาได้
การเดินเรือหากเรือไม่ได้มีอุปกรณ์ใดๆ จะสามารถเดินเรือในระยะไกลได้หรือไม่ ร.ต.อ.จาตุรงค์ บอกว่า เท่าที่คุ้นเคยกับเรือ ส่วนตัวเชื่อว่าอาจจะมีอุปกรณ์เดินเรืออื่นที่เอาเข้ามาใส่ใช้แทนได้ และคนขับต้องมีความรู้ ความชำนาญ ประกอบกับช่วงนี้ยิ่งเป็นช่วงมรสุม ถือเป็นอุปสรรคในการเดินเรือทำให้เรือเดินช้าลงด้วย และยิ่งเลือกเวลากลางคืนในการหลบหนี ก็ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่มองเรือยาก ว่าเป็นเรือชนิดไหน เพราะจะเห็นแค่เพียงแสงไฟ
ส่วนประเด็นในช่วงคืนวันเกิดเหตุหากมีการเดินเรือหลบหนีออกไปในช่วงเวลากลางคืน ตำรวจที่เฝ้าอยู่ในประจำเรือลำนี้จะได้ยินเสียงเครื่องเรือออกหรือไม่ ร.ต.อ.จาตุรงค์ บอกว่า ได้ยิน แต่ในช่วงพายุเข้า จะมีเสียงลมผสมอยู่ด้วย ส่วนเวรเฝ้าในเรือของกลาง จริงๆ แล้วถ้าอยู่บนฝั่งหรือติดฝั่ง จะมีเจ้าหน้าที่เฝ้าอยู่แล้ว โดยมีสารวัตรสถานีคอยควบคุม ประเมินสภาพอากาศ หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือประเมินแล้วว่าจะมีความเสี่ยงไม่ปลอดภัย ก็มีหน้าที่ตัดสินใจ เช่น เรือมีการโหลดของตัวน้ำมัน แล้วโหลดมันหนัก ทำให้เรือกระแทกสะพาน อาจทำให้สะพานพังหรือทรุดลงหรืออาจจะเสียดสีจนทำให้เรือระเบิดได้
ด้านพลตำรวจตรีจรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ระบุว่า เรือทั้ง 3 ลำ มีการวางแผนล่วงหน้าในการหลบหนีมากกว่า 1 เดือน และได้ชักชวนลูกเรือที่เหลือหลบหนีไปด้วย 17 คน แต่มีลูกเรือ 1 คน ที่ไม่ได้ไปด้วย
#เรือบรรทุกน้ำมัน
#ของกลางหาย