การเมืองไม่นิ่ง! ดึงดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน แนะเร่งเบิกจ่ายงบปี 67 กระตุ้นเศรษฐกิจ

13 มิถุนายน 2567, 15:46น.


          ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม 2567 อยู่ที่ 60.5 ลดลงจากระดับ 62.1 ในเดือนก่อนหน้า โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มกลับมากังวลว่าการเมืองไทยเริ่มขาดเสถียรภาพ หลังจากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของ 40 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เกี่ยวกับคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรี และกังวลเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงและฟื้นตัวช้า ประกอบกับราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน รวมทั้งผู้บริโภคยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามในตะวันออกกลางที่อาจยืดเยื้อบานปลาย อาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวล่าช้าของเศรษฐกิจไทย



          นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มหันเข้าสู่วัฎจักรขาลง แต่คงยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าความเชื่อมั่นผู้บริโภคจะลดลงไปถึงจุดไหน โดยสถานการณ์ทางการเมืองในเดือนมิถุนายน 2567 จะโดดเด่น หรือทรุดตัวแค่ไหนนั้น เป็นสิ่งที่ประชาชนและภาคธุรกิจไม่มีความมั่นใจ ซึ่งภาพนี้ได้ไปสะท้อนในตลาดหลักทรัพย์จากผลของความไม่นิ่งของการเมืองไทย และยังไม่สามารถประเมินได้ว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคจะกลับมาเป็นขาขึ้นเมื่อใด จนกว่าจะมีความชัดเจนจากคำตัดสินของศาล รวมทั้งหลังคำตัดสินของศาลแล้ว จะยังมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งในสภาและนอกสภาอย่างไร



          สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 54.3 57.6 และ 69.8 ตามลำดับ ซึ่งปรับลดลงทุกรายการ เมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนเมษายน ที่อยู่ในระดับ 56.0 58.9 และ 71.5 ตามลำดับ และยัง ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ทุกรายการ



          ขณะเดียวกันสถานการณ์เชิงลบต่างๆ ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลง อยู่ระดับ เป็น 44.1 จากระดับ 45.3 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวลดลง อยู่ที่ระดับ 68.4 จากระดับ 70.2 อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคน่าจะปรับตัวดีได้ หากรัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณและกระตุ้นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 นี้



          ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ในการสร้างความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทย โดยมีแนวทางการดูแลค่าแรงของประชาชนให้เหมาะสมกับค่าครองชีพ และไม่ส่งผลกระทบกับการดำเนินงานในภาคธุรกิจขนานเล็ก มาตรการกำกับจัดสรรแก้ไขปัญหาน้ำที่เกิดจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำในภาคเกษตร-อุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ



          ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ คาดว่าเศรษฐกิจไทยแม้จะมีปัจจัยบวกดีอยู่บ้าง แต่เนื่องจากปัญหาด้านการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม ทำให้เกิดความกังวลที่ผลจะออกมาว่าเกิดความวุ่นวายหลังมีคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญของนายกรัฐมนตรีและพรรคก้าวไกลที่จะออกมาในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม ออกมาเริ่มลดลงต่อเนื่องติดต่อกัน 3 เดือน         



          อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าความกังวลใจในหลายเรื่องที่ยังมีอยู่ แต่หากภาครัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ให้เต็มที่ใน 4 เดือนที่เหลือ รวมถึงในงบปี 2568 ที่จะเริ่ม 1 ตุลาคม 2567 ได้อย่างเต็มที่ คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตร้อยละ 2.6 แต่หากดิจิทัลวอลเล็ตออกมาใช้จริงมีเม็ดเงินเข้าระบบ 5 แสนล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ได้น่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตได้ ร้อยละ 3-3.2  



 #เศรษฐกิจไทย

ข่าวทั้งหมด

X