+++สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า หลังจากเกิดภูเขาไฟชินดาเกะ ประทุในเกาะคุชิโนะเอระบูจิมะ ซึ่งเป็นเกาะทางใต้ของจังหวัดคาโกะชิมะ ทำให้เกิดเขม่าควันความสูงกว่า 9 กม. และทางการญี่ปุ่นประกาศยกระดับระวังภัยภูเขาไฟระเบิดจากระดับ 3 (ห้ามเข้าพื้นที่ภูเขา) เป็นระดับ 5 (ลี้ภัย) ทั้งนี้ สถานทูตฯ ได้สอบถามไปยังเขตเมืองยาคุชิมะ ที่ดูแลพื้นที่เกาะคุชิโนะเอระบูจิมะ ทราบว่า ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตหรือผู้บาดเจ็บ และไม่มีนักท่องเที่ยว หรือ คนไทยอาศัยอยู่บนเกาะดังกล่าว จึงขอให้บุคคลที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงติดตามข่าวสารจากทางการญี่ปุ่นอย่างใกล้ชิด
+++ภูเขาไฟชินดาเกะ เคยปะทุอย่างรุนแรงมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนส.ค.ปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นการปะทุครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2523 และย้อนกลับไปเมื่อเดือนก.ย.ปีที่แล้ว ภูเขาไฟออนตาเกะ ตั้งอยู่ทางตอนกลางของญี่ปุ่น เกิดการปะทุอย่างรุนแรง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 57 ศพ
+++ประเด็นร้อนเรื่องการยกเลิกหนังสือเดินทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีหลายฝ่ายออกมาแสดงความเห็น ล่าสุด อดีตนายกฯ โพสต์ข้อความผ่านอินสตราแกรม thksinliveกำลังนั่งสมาธิแผ่เมตตา พร้อมทั้งระบุว่า หลังจากได้อุ้มหลานที่สิงคโปร์ วันนี้กลับมาอยู่ดูไบแล้ว ได้มีเวลานั่งสมาธิเช่นเดียวกับวันว่างทุกวันที่ผ่านมาแต่ครั้งนี้ได้เพิ่มการแผ่เมตตาให้กับผู้มีอำนาจทั้งหลาย ได้พ้นจากความโลภ โกรธ หลง เพื่อจะได้มีสติปัญญาในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่บริหารแต่อำนาจและสร้างความแตกแยกให้มากยิ่งขึ้น เชื่อในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ใด ๆ ในโลกล้วนอนิจจัง” คือทุกสิ่งไม่มีอยู่จริง เมื่อเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป พาสปอร์ตก็เช่นกันก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องวุ่นวายใหญ่โตอะไรกันมากมาย ก็ยังเป็นคนเดิม จนกว่าจะลาโลกไป อยากให้คนไทยมีเมตตาต่อกัน กฎหมายและปืนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ นอกจากเมตตาเท่านั้น
+++เมื่อช่วงเย็น ผู้สื่อข่าวได้นำภาพนี้ให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯดู ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯ อารมณ์เสีย ก่อนเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้นได้มอบหมายให้ทีมงานมาขอยืมไอแพด เพื่อไปอ่านข้อความอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนมอบหมายให้ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกฯ มาชี้แจงเพิ่มเติมว่า การดำเนินการเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งหมด ไม่ได้ทำเพราะความเกลียดชัง แต่เป็นเรื่องการปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ก่อนหน้านี้ นายกฯ ให้สัมภาษณ์อีกครั้งถึงกรณีที่คณะกรรมการสืบสวนสอบสวนหาพยานหลักฐานว่าจะเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 2547 เรื่องการถอดยศนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร มีมติถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า หากส่งเรื่องมาก็จะดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย ยืนยันว่าไม่มีการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ดำเนินการในเรื่องนี้ แต่ใช้กฎหมายปกติ คือเมื่อทำเรื่องเสนอมา ก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯ ต่อไป
+++รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แจ้งว่า จากกรณีมีผู้ร้องขอให้ดำเนินการถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ขณะนั้น รวมถึงกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กรณีนายสุรพงษ์ จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศ ว่าด้วยด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2) (3) (4) ในฐานะเป็นผู้ออกหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถูกศาลสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ และถูกออกหมายจับในคดีก่อการร้ายและคดีอื่น ๆ โดยเป็นการร้องเพื่อให้ตรวจสอบว่ากระทำผิดตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ มีอำนาจกระทำการดังกล่าวจริงหรือไม่ และมีการร้องขอให้พิจารณาว่า อำนาจโดยตรงที่เป็นของ รมว.ต่างประเทศ ในข้อกฎหมายแล้ว อยู่ในอำนาจของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยหรือไม่ ป.ป.ช. ทั้ง 9 คน เป็นองค์คณะไต่สวน โดยมีนายณรงค์ รัฐอมฤต เป็นกรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวน คณะไต่สวนฯได้เตรียมสรุปข้อมูลข้อเท็จจริง รายงานเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประมาณเดือนมิ.ย.นี้ เพื่อขอมติที่ประชุมว่า เรื่องดังกล่าวมีมูลเพียงพอที่จะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้ถูกร้องหรือไม่
+++นายณรงค์ กรรมการ ป.ป.ช. ผู้รับผิดชอบสำนวน กล่าวว่า เรื่องนี้ดำเนินการเสร็จกว่าร้อยละ 80 แล้ว และก่อนหน้านี้องค์คณะไต่สวนเคยสรุปเรื่องนี้รายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วครั้งหนึ่ง แต่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ให้เจ้าหน้าที่ไปดำเนินการหาข้อมูลเพิ่มเติมในบางจุด เพื่อให้ข้อมูลละเอียดมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ก็ทำงานไปได้มากแล้ว เชื่อว่าใช้เวลาอีกไม่นานจะสามารถนำกลับไปรายงานให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบได้
+++การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมกลุ่มผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง ร่วมกับตำรวจพื้นที่เพื่อป้องกันและปราบปรามเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ กองบังคับการปราบปราม โดยการนำของ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รรท.ผบก.ป.บูรณาการกำลังของกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับหน่วยงานในสังกัด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และตำรวจภูธรภาค 7 เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพล และมือปืนรับจ้าง ในพื้นที่ จ.นครปฐม จำนวน 13 เป้าหมาย ภายใต้ยุทธการปฐมเจดีย์มีกำลังพลที่ใช้ในการปฏิบัติ จำนวน 220 นาย ยานพาหนะจำนวน 30 คัน สรุปผลการปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่ จ.นครปฐม รวม 13 จุด ตรวจยึดอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ขนาดต่างๆ และสิ่งของอย่างอื่นได้ ประกอบด้วย อาวุธปืนสั้นขนาดต่างๆ รวมทั้งสิ้น จำนวน 19 กระบอก , อาวุธปืนยาวขนาดต่างๆ รวมทั้งสิ้น จำนวน 6 กระบอก , กระสุนปืนขนาดต่างๆ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1106 นัด , แม็กกาซีน ที่ใช้บรรจุกระสุนปืนขนาดต่างๆ จำนวน 27 อัน , ป้ายทะเบียนรถยนต์/รถจักรยานยนต์ จำนวน 16 อัน , เสื้อเกราะกันกระสุน จำนวน 1 ตัว , วิทยุสื่อสาร จำนวน 2 เครื่อง ,โพยพนันบอล จำนวน 80 ใบ ,จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 4 ราย
+++เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายสนธิกำลังตรวจค้น 1ใน13จุดมีบ้านของนายไชยา สะสมทรัพย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ตั้งอยู่บริเวณถนนมาลัยแมน อ.เมือง จ.นครปฐม พร้อมตรวจค้นจุดสำคัญในจังหวัดรวม 13 จุด ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด จากการตรวจค้นเบื้องต้นเจ้าหน้าที่พบอาวุธปืน และกระสุนปืนจำนวนมาก วิทยุสื่อสาร และเสื้อเกราะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1 ตัว ได้นำไปตรวจสอบแล้วว่า มีไว้ในครอบครองโดยถูกกฎหมายหรือไม่ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้เชิญ นายไชยา มาพูดคุย แต่ยังไม่มีการควบคุมตัว หรือแจ้งข้อกล่าวหา สำหรับการตรวจค้นในครั้งนี้ สืบเนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาเกิดคดีอาชญากรรมในพื้นที่ จ.นครปฐมหลายคดี โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันประมาณ20คดีมีการย้ายนายตำรวจไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปก.ตร. และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้กองบังคับการปราบปราม เข้ามาช่วยเร่งรัดคดีดังกล่าว
+++นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลาง ได้แจ้งเวียนหนังสือให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐ รายงานสถานะเงินงบประมาณ2555-2557 กรณียังไม่ได้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน ต้องเร่งรัดก่อหนี้และเบิกจ่ายให้เสร็จภายในเดือน ก.ย.2558 ตามที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติ หากไม่ทันงบประมาณดังกล่าวจะถูกตัดงบประมาณทันที
+++นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอมาตรการเพื่อช่วยเหลือและดูแลธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ให้ครม.พิจารณาและเห็นชอบภายในเดือน มิ.ย.นี้ ได้แก่ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำวงเงิน 15,000 ล้านบาท ที่กระทรวงการคลังรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 3 และให้ผู้ประกอบการจ่ายเองร้อยละ 4 โครงการให้รับรัฐรับภาระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ปีแรก ในโครงการ พีจีเอส ระยะที่ 5 เพิ่มอีก 50,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจเอสเอ็มอีถือมีความสำคัญต่อประเทศ โดยมีอยู่ประมาณ 2.7 ล้านราย เกิดการสร้างงานกว่า 11.4 ล้านราย หรือคิดเป็นกว่าร้อยละ 30 ต่อจีดีพี แต่ปัจจุบันได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้เต็มที่ ถือเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ทั้งการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่ผ่อนปรน เพื่อให้สามารถต่อยอดธุรกิจได้ดีขึ้น
+++หุ้นไทย ปิดตลาด บวก2.44จุด ดัชนีอยู่ที่1,496.05จุด มูลค่าซื้อขาย39,747.16ล้านบาท ส่วนดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดปรับตัวลดลง ดัชนีฮั่งเส็งลดลง 30.12 จุด ปิดวันนี้ที่ 27,424.19 จุด
+++นายเซปป์ แบล็ตเตอร์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ(ฟีฟ่า) เรียกร้องให้ทุกฝ่ายในวงการลูกหนังสามัคคีกันขณะเปิดการประชุมฟีฟ่าองค์กรฟุตบอลระดับโลก ท่ามกลางข้อครหาทุจริต นายแบล็ตเตอร์บอกกับผู้มาร่วมการประชุมว่า การจับกุมเจ้าหน้าที่ 7 คนที่เมืองซูริกเมื่อวันพุธกลายเป็นกระแสที่กระหน่ำโจมตีฟีฟ่าอย่างแรง แต่เขาก็ขอให้พันธมิตรฟีฟ่ามีความสามัคคี การประชุมวันนี้ คาดว่า แบล็ตเตอร์ จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งต่ออีกสมัย แม้มีเสียงคัดค้านจากนายมิเชล พลาตินี ประธานยูฟ่าที่ต้องการให้เขาลงจากตำแหน่ง
CR: thksinlive