กระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ แถลงผลการสอบสวนเบื้องต้น กรณีเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777-300ER ของสายการบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ เที่ยวบิน SQ321 บรรทุกผู้โดยสารพร้อมลูกเรือรวม 229 คน ประสบเหตุตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงเหนือประเทศเมียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วก่อนนักบินนำเครื่องบินมาลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิ จนเป็นเหตุให้มีผู้โดยสารเสียชีวิต 1 ราย และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก สาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงของแรงโน้มถ่วงและระดับความสูงที่ลดลง 54 เมตรอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บจำนวนมากบนเที่ยวบินดังกล่าว
ข้อมูลที่ได้จากกล่องบันทึกทางการบินและกล่องบันทึกเสียงในห้องนักบิน ระบุว่า เครื่องบินได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในค่า G (แรงโน้มถ่วง) ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้โดยสารที่ไม่ได้คาดเข็มขัดลอยขึ้นกลางอากาศได้ กระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ ระบุ ว่า อัตราเร่งในแนวตั้งได้เปลี่ยนจากลบ 1.5 G เป็นบวก 1.5 G ภายใน 4 วินาที ซึ่งส่งผลให้ผู้โดยสารที่ลอยขึ้นกลางอากาศตกกลับลงมา กระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ ระบุต่อว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของค่า G ในช่วง 4.6 วินาที ส่งผลให้ระดับความสูงลดลง 178 ฟุต (54 ม.) จาก 37,362 ฟุต เป็น 37,184 ฟุต ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้น่าจะเป็นเหตุให้ลูกเรือและผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ
เหตุตกหลุมอากาศอย่างรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากเที่ยวบิน SQ321 นำผู้โดยสารพร้อมลูกเรือ ออกเดินทางจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มุ่งหน้าประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม แต่ประสบเหตุตกหลุมอากาศรุนแรงขณะบินอยู่เหนือประเทศเมียนมา จึงทำให้นักบินขอนำเครื่องบินลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย เหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบินดังกล่าว ที่มีลูกเรือกำลังเสิร์ฟอาหารอยู่และผู้โดยสารที่ไม่ได้คาดเข็มขัดติดที่นั่ง ตัวลอยกระเด็นกระดอนกระแทกเพดานห้องโดยสาร ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย เป็นผู้โดยสารชายชาวอังกฤษที่ระบุว่าน่าจะเสียชีวิตจากหัวใจวาย และมีผู้โดยสารและลูกเรือได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบคน หลายคนอาการหนักต้องเข้ารับการผ่าตัด
รายงานเบื้องต้นระบุว่าเมื่อเครื่องบินเผชิญกับการสั่นสะเทือนเล็กน้อย ก็มีระดับความสูงเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้มีคำสั่งการ ส่งผลให้ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเหวี่ยงเครื่องบินให้ลดต่ำลง นักบินประสบกับความเร็วของเครื่องบินที่เพิ่มขึ้นและตอบสนองโดยการใช้เบรกความเร็วของเครื่องบิน ทีมสอบสวนเหตุการณ์นี้ประกอบด้วยทีมสอบสวนของสิงคโปร์ ตัวแทนจากบริษัทโบอิ้ง ผู้ผลิตเครื่องบินของสหรัฐฯ คณะกรรมการความปลอดภัยการขนส่งแห่งชาติ (เอ็นทีเอสบี) และองค์การบริหารการบินแห่งชาติ(เอฟเอเอ)ของสหรัฐฯ ซึ่งกระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ ระบุว่า การสอบสวนต่อเหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไป
#สิงคโปร์แอร์ไลน์
#กล่องดำ