สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เผยหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ ร้อยละ91.3 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา โดยหนี้เสียธนาคาร มีมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.88 ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.79 ในไตรมาสก่อน ขณะที่ คุณภาพสินเชื่อด้อยลงในทุกประเภท ติดตามสินเชื่อบัตรเครดิต -แนวโน้มหนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะสินเชื่อวงเงินน้อยกว่า 3 ล้านบาท
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4/66 หนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.4 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 3 ชะลอลงจากร้อยละ 3.4 ของไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 91.3 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา โดยหนี้ครัวเรือน ขยายตัวชะลอลงเกือบทุกประเภทสินเชื่อ ยกเว้นสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ขณะที่ สินเชื่อยานยนต์หดตัว ด้านความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนด้อยลงทุกประเภท โดยหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์ มีมูลค่า 1.58 แสนล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.88 ต่อสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจาก ร้อยละ 2.79 ในไตรมาสก่อน
เรื่องสินเชื่อบัตรเครดิต เป็นเรื่องที่เฝ้าระวังมานานแล้ว และขยับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะทุกวันนี้ทุกอย่างผ่อนได้ผ่านบัตรเครดิต และได้ส่วนลดด้วย จึงทำให้หนี้บัตรเครดิตพุ่งสูง อย่างไรก็ดี เรื่องบัตรเครดิตไม่ใช่เรื่องของธนาคารเพียงอย่างเดียว ธนาคารทำได้แค่การดูเงื่อนไขมากขึ้นกว่าเดิม แต่เป็นเรื่องยากถ้าต้องไปดูแล Ecosystem การซื้อขายในระบบ คนขาย และห้างสรรพสินค้า
เช่นเดียวกับ หนี้เสียของที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นมาจากทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาของลูกหนี้ เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีรายได้ปานกลาง ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ คือพยายามต้องทำให้เขายังมีบ้านอยู่ได้ ถ้าบ้านหลุดมือไปความมั่นคงในชีวิตก็จะหายไป และจะเกิดปัญหาต่อเนื่องมาอีกหลายอย่าง
ขณะที่ภาวะสังคมไทยไตรมาส 1/67 พบว่า ผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 0.1% ซึ่งเป็นผลจากการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลงกว่า ร้อยละ 5.7 ในช่วงนอกฤดูการทำเกษตรกรรม
ขณะที่นอกภาคเกษตรกรรมยังขยายตัวได้ที่ ร้อยละ 2.2 โดยสาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวต่อเนื่องที่ ร้อยละ10.6 จากการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 9.3 ล้านคน เช่นเดียวกับสาขาการก่อสร้างที่ขยายตัวกว่า ร้อยละ 5
การจ้างงานสาขาการผลิตเริ่มปรับตัวดีขึ้นที่ ร้อยละ 0.7 ชั่วโมงการทำงานลดลงตามการลดการทำงานล่วงเวลา โดยภาพรวมและเอกชนอยู่ที่ 41.0 และ 44.0 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งผู้ทำงานล่วงเวลาลดลงกว่าร้อยละ 3.6 และผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6 การว่างงานทรงตัว อยู่ที่ร้อยละ 1.01 หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 4.1 แสนคน
สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป ได้แก่
1. การขาดทักษะของแรงงานไทยที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจในระยะยาว โดยผลการสำรวจทักษะและความพร้อมเยาวชนและประชากรวัยแรงงาน (ASAT) ในประเทศไทย พบว่า เยาวชนและกลุ่มวัยแรงงานของไทยจำนวนมากมีทักษะต่ำกว่าเกณฑ์
2. ความยั่งยืนของกองทุนประกันสังคม ซึ่งกองทุนฯ มีแนวโน้มจะต้องจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญให้แก่ผู้ประกันตนที่เกษียณอายุมากขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตตามการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยในปี 2575 อาจมีผู้ขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพมากถึง 2.3 ล้านคน
3. การพัฒนาทักษะแรงงานเพื่อให้ได้รับค่าจ้างที่สูงขึ้น
#หนี้สินภาคครัวเรือน
#สภาพัฒน์
อ่านฉบับเต็ม:https://shorturl.asia/NjQ7t