ผู้สื่อข่าว รายงานเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 จากทำเนียบรัฐบาลว่า นายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ได้ยื่นลาออกจากตำแหน่งแล้ว โดยระบุว่า ไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง อันจะทำให้กระทบต่อการทำหน้าที่ของรัฐบาล หลังจากถูกสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 40 คน ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยถอดถอน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติกรรมที่เข้าข่ายขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) และ (5) ประเด็นว่าด้วยขาดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ก่อนหน้านี้ กรณีกลุ่ม สว.จำนวน 40 คนร่วมลงชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาการสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และนายพิชิต ชื่นบาน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพราะขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) ว่าด้วยมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง หรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยว่าจะรับไว้พิจารณาหรือไม่ ในวันที่ 23 พฤษภาคมนี้
ต่อมา นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเรื่องนี้ โดยผู้สื่อข่าวถามว่า การแต่งตั้งเมื่อนายพิชิตถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นไปตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาแนะนำใช่หรือไม่ ว่า “ครับ ผมมั่นใจ คิดว่าทำถูกต้อง ด้วยความบริสุทธิ์ใจครับ”
ทั้งนี้ การสอบถามเรื่องคุณสมบัติของ นายพิชิต ชื่นบาน ว่ามีคุณสมบัติต้องห้ามหรือไม่น้้น คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตอบคำถามนี้ไว้ตั้งแต่กระบวนการเสนอชื่อรัฐมนตรี “เศรษฐา 1” ซึ่งในขณะนั้นมีรายงานข่าวว่าจะมีการเสนอชื่อนายพิชิต แต่ในที่สุดราชกิจจานุเบกษาประกาศรายชื่อ “ครม.เศรษฐา 1” เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2566 ไม่ปรากฏรายชื่อนายพิชิตเป็นรัฐมนตรี แต่ได้รับการเสนอชื่ออีกครั้งใน “ครม.เศรษฐา 1/1”
สำหรับคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษรของสำนักงานกฤษฎีกา ลงวันที่ 1 กันยายน 2566 มีข้อความดังนี้
ก่อนหน้านี้ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำหนังสือขอให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ความเห็นในปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรี เฉพาะตามมาตรา 160 (6) ประกอบกับมาตรา 98 (7) และมาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนั้น
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ลงนามโดย นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้มีหนังสือลงวันที่ 1 กันยายน 2566 ตอบกลับไปยังเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
โดยมีเนื้อหาระบุว่า “คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) ได้พิจารณาข้อหารือดังกล่าว โดยมีผู้แทนสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และผู้แทนสำนักงานศาลยุติธรรมเป็นผู้ชี้แจงข้อเท็จจริง และมีความเห็นในแต่ละประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง เห็นว่า มาตรา 160 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเป็นบทบัญญัติที่กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลซึ่งจะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยใน (6) ของมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า รัฐมนตรีต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 98 ซึ่งมาตรา 98 (7) กำหนดลักษณะต้องห้ามไว้ว่า “เคยได้รับโทษจำคุกโดยได้พ้นโทษมายังไม่ถึงสิบปีนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ”
ดังนั้น การได้รับโทษจำคุก ไม่ว่าโดยคำพิพากษาหรือคำสั่งใด จึงเป็นลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี บุคคลซึ่งเคยได้รับโทษจำคุกในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลจึงเป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามดังกล่าว เว้นแต่บุคคลนั้นได้พ้นโทษเกินสิบปีแล้ว หรือได้รับโทษจำคุกในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ อันเป็นข้อยกเว้นที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ประเด็นที่สอง เห็นว่า มาตรา 160 (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติไว้ชัดเจนว่า รัฐมนตรีต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวไม่รวมถึงคำสั่งให้จำคุก ดังนั้น ผู้ซึ่งจะได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจึงต้องไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก
#พิชิตลาออก
#รัฐบาลเศรษฐา