นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ แถลงผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาส 1/2567 ขยายตัวร้อยละ 1.5 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 1.7 ในไตรมาส 4/2566
-ด้านการใช้จ่าย การส่งออกบริการและการอุปโภคบริโภค ภาคเอกชน ขยายตัวในเกณฑ์สูง การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวในเกณฑ์ดี ขณะที่การส่งออกสินค้า การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภค ของรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐลดลง
-ด้านการผลิต สาขาที่พักแรมและบริการด้านอาหาร สาขาขนส่งและ สถานที่เก็บสินค้า สาขาไฟฟ้า ก๊าซฯ และสาขาข้อมูลข่าวสารและ สื่อสาร ขยายตัวเร่งขึ้น ส่วนสาขาการขายส่งขายปลีกและการซ่อมฯ ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ สาขาการผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สาขาก่อสร้างและสาขาเกษตรกรรมปรับตัวลดลง
สภาพัฒน์ ได้ปรับคาดการณ์ GDP ในปี 67 ลงเหลือเติบโต 2-3% หรือช่วงกลางของคาดการณ์ที่ 2.5% จากเดิมที่เคยคาดว่าจะเติบโต 2.2-3.2% เนื่องจาก การส่งออกฟื้นตัวช้ากว่าคาด การลงทุนภาคเอกชนขยายตัวต่ำกว่าที่เคยคาด และการลงทุนภาครัฐยังหดตัว
ข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยง
- ภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูงและการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย ส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังการให้สินเชื่อมากขึ้น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ความเสี่ยงจากความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการค้าโลก ที่อาจเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การปรับทิศทางนโยบายการเงินของประเทศเศรษฐกิจหลัก และ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
การบริหารเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปีนี้ ควรให้ความสำคัญ
-การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐ เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว
-การดูแลสภาพคล่องให้เพียงพอสำหรับภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ที่มีศักยภาพแต่ประสบปัญหาการเข้าถึงสภาพคล่อง ควบคู่ไปกับการยกระดับศักยภาพการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs
-การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร
(1) การติดตามและวางแผนแนวทางในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ
(2) การเตรียมความพร้อมต่อปัญหาอุทกภัย
(3) การฟื้นฟูภาคเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้งให้กลับมาฟื้นตัวโดยเร็ว
(4) การสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนาเพื่อการปรับปรุงพันธุ์พืช
(5) การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันแก่เกษตรกรผ่านการส่งเสริมรูปแบบและพัฒนาระบบประกันภัยพืชผล
(6) การเฝ้าระวัง ติดตาม การปราบปราม การลักลอบการนำเข้าสินค้าเกษตรผิดกฎหมาย
-การขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าที่มีศักยภาพและเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ควบคู่ไปกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจทั้งภาคการผลิต และภาคบริการ
(1) การเพิ่มผลิตภาพการผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง
(2) การสร้างความเชื่อมั่นและเตรียมความพร้อมของระบบนิเวศที่เหมาะสมเพื่อดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
(3) การดึงดูดนักท่องเที่ยว ที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง
-การเตรียมมาตรการเพื่อรองรับผลกระทบและใช้ประโยชน์จากความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในระยะต่อไป ทั้งจากการยกระดับความรุนแรงของความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การกีดกันทางการค้า การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและตลาดการเงินโลก
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกในปี 2567 ภายใต้สมมติฐานที่คาดว่าสถานการณ์ความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคยังอยู่ในวงจำกัดและไม่ยกระดับความรุนแรงส่งผลยืดเยื้อจนนำไปสู่ความชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน จนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้าและระบบการเงินโลกอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่า เศรษฐกิจโลกและปริมาณการค้าโลกในปี 2567 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ 2.9 และร้อยละ 2.8 เทียบกับการขยายตัวร้อยละ 3.1 และร้อยละ 0.3 ในปี 2566
เศรษฐกิจโลก มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า โดยมีแรงสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของภาคการผลิตและการค้าระหว่างประเทศ ประกอบกับการขยายตัวต่อเนื่องของอุปสงค์ภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ (Resilient) ภายหลังจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์และการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดเพื่อลดแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (NIEs) และกลุ่มประเทศอาเซียน
ขณะที่ เศรษฐกิจญี่ปุ่น มีแนวโน้ม ชะลอตัวตามการลดลงของแรงขับเคลื่อนจากภาคการผลิตและการส่งออกสินค้า การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มเผชิญแรงกดดันจาก การอ่อนค่าของอัตราแลกเปลี่ยน
เช่นเดียวกับ เศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัวตามอุปสงค์ภายในประเทศเนื่องจากปัญหาสภาพคล่อง ในภาคอสังหาริมทรัพย์และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ การค้าโลกยังมีข้อจำกัดในการฟื้นตัวจากมาตรการกีดกันทางการค้า และการลงทุนมีการบังคับใช้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลต่อการขนส่งระหว่างประเทศ
สำหรับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจหลักเริ่มผ่อนคลายลงแต่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายนโยบายการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Sticky Core Inflation) ตามการเพิ่มขึ้นของราคาในหมวดบริการและอัตราค่าจ้างเป็นสำคัญ ส่งผลให้ธนาคารกลางของประเทศ เศรษฐกิจหลักมีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับสูงนานกว่าที่คาด (Higher for Longer) ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศกำลังพัฒนาและตลาดเกิดใหม่เผชิญแรงกดดันจากการอ่อนค่าต่อเนื่อง ขณะที่ คาดว่า ธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลักจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งหลังของปีภายใต้เงื่อนไขอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลงและปรับเข้าสู่กรอบเป้าหมายนโยบายการเงินอย่างชัดเจน
#GDPไตรมาส1
#เศรษฐกิจไทย2567
รายละเอียดเพิ่มเติม https://shorturl.asia/6PEh0
CR:ขอบคุณข้อมูล-ภาพ สภาพัฒน์