ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รายงานว่า อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยได้รับผลกระทบอย่างไรจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และจะปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดได้อย่างไร พร้อมทั้งยกบทความของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ (Puey Ungphakorn Institute for Economic Research-PIER) โดย ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ และ คุณอิสรีย์ ชวนะพาณิชย์ อธิบายว่า แหล่งท่องเที่ยวทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงเสนอแนะแนวทางที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวสามารถนำมาใช้ในการปรับตัวเพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ ทั้งนี้ เป้าประสงค์หลักของการปรับตัวคือการสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว (long-term resilience) ให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ปัจจุบันไม่ใช่แค่แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น แต่แหล่งท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมก็เริ่มได้รับผลกระทบเช่นกัน ดังนั้น การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจึงเป็นความท้าทายใหม่และมีความจำเป็นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ส่วนในประเทศไทย จังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่นำร่องสำหรับแผนการปรับตัวต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยในแต่ละพื้นที่มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันและไม่เท่ากัน หลายพื้นที่ประสบปัญหารายได้กระจุกตัวแค่ช่วงฤดูหนาว และในอนาคตคาดว่าเชียงรายจะประสบปัญหาหนาวน้อยและมีช่วงเวลาหนาวที่สั้นลง เพื่อแก้ปัญหาจุดนี้จึงมีการพัฒนาสถานที่และกิจกรรมการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งพาสภาพอากาศที่เหมาะสม
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยยังขาดความตระหนักรู้ในผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงยังไม่ดำเนินการปรับตัวมากเท่าที่ควร ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษาจึงควรเร่งสร้างความตระหนักรู้ และสนับสนุนให้มีการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการปรับตัว รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง
ตัวอย่างแนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในหลายเมือง/ประเทศทั่วโลกที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ได้แก่
-ในต่างประเทศได้มีการเตรียมรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าวกันมากขึ้น เช่น Great Barrier Reef ประเทศออสเตรเลีย มีการประเมินผลกระทบเชิงระบบนิเวศเพื่อรับมือกับปัญหาปะการังฟอกขาวอันเกิดจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำทะเล
-ประเทศโมซัมบิค:มีความเสี่ยงต่อพายุไซโคลนและปัญหาคลื่นซัดฝั่ง ที่ผ่านมาจึงมีการใช้วิธีการก่อสร้างกำแพงกันคลื่น ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินจากทางธนาคารโลก ควบคู่กับแนวทางการใช้เนินทรายประเภท vegetated sand dunes ในการป้องกันชายฝั่งแทนที่จะอาศัยโครงสร้างป้องกันเชิงวิศวกรรม
-ประเทศฟิจิ:มีความเสี่ยงต่อพายุไซโคลนและปัญหาคลื่นซัดฝั่งเช่นกัน จึงมีการกำหนดหรือออกกฎหมายควบคุมอาคาร (building code) ซึ่งกำหนดให้อาคารที่ก่อสร้างใหม่จะต้องสามารถต้านทานแรงลมอย่างน้อย 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ นอกจากนี้ โรงแรมและรีสอร์ทที่ก่อสร้างใหม่จะต้องมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลางอย่างน้อย 2.60 เมตร นอกจากกฎหมายควบคุมอาคารแล้ว ธุรกิจท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศฟิจิ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่มีการจัดเตรียมแผนในการอพยพและมีการซื้อประกันภัยเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
-เกาะมาร์จอกา ประเทศสเปน:มีความเสี่ยงต่อปัญหาน้ำแล้งและการขาดแคลนน้ำ โดยมีการรับมือกับความเสี่ยงดังกล่าวทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว แนวทางการรับมือกับปัญหาน้ำแล้งและการขาดแคลนน้ำในระยะสั้น เช่น การขนน้ำจืดจากบนบกมายังเกาะมาร์จอกาโดยใช้เรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ ในขณะที่แนวทางการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระยะยาว เช่น การก่อสร้างโรงกลั่นน้ำทะเลเป็นน้ำจืด (desalination plants) การดำเนินโครงการส่งเสริมการอนุรักษ์และประหยัดน้ำ ซึ่งใช้ทั้งมาตรการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ควบคู่กับการใช้มาตรการทางราคาในการส่งเสริมให้มีการปรับพฤติกรรมในการใช้น้ำ
#ท่องเที่ยว
#สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง
CR:ขอบคุณข้อมูล-ภาพ ธนาคารแห่งประเทศไทย,Puey Ungphakorn Institute for Economic Research-PIER