สหรัฐฯ ระบุอิสราเอลอาจละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศในฉนวนกาซา

11 พฤษภาคม 2567, 07:58น.


          กระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ นำเสนอรายงานต่อสภาคองเกรส ระบุว่า มีความ "สมเหตุสมผล” ที่จะประเมินว่าอาวุธที่สหรัฐฯ จัดหาให้แก่อิสราเอลถูกนำไปใช้ในลักษณะที่ "ไม่สอดคล้อง" กับพันธกรณีระหว่างประเทศ และอาจมีการกระทำที่เป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมในฉนวนกาซาโดยใช้อาวุธของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตามฝ่ายบริหารของประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ เชื่อว่าอิสราเอลกำลังดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อแก้ไขข้อกังวลนี้ ซึ่งในเวลาเดียวกัน สหรัฐฯ ยอมรับว่า อิสราเอลกำลังเผชิญกับความท้าทายทางทหารที่เป็นกรณีพิเศษในการต่อสู้กับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา



          รายงานฉบับนี้ มีขึ้นหลังจากที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ มีคำสั่งให้หยุดส่งวัตถุระเบิดไปให้แก่อิสราเอล และอาจหยุดส่งอาวุธทั้งหมดหากโจมตีเมืองราฟาห์ที่มีชาวปาเลสไตน์นับล้านคนพักอาศัยอยู่ พร้อมเตือนเรื่องการนำอาวุธของสหรัฐฯไปใช้ในการโจมตีพลเรือน ซึ่งทำเนียบขาวมีคำสั่งให้กระทรวงการต่างประเทศนำเสนอรายงานไปยังสภาคองเกรส มีเนื้อหาโดยรวมที่แม้ว่าจะตำหนิปฏิบัติการทางทหารในบางกรณี แต่ก็ไม่ได้ชี้ชัดว่า เป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนในการประเมิน และกลุ่มฮามาสมีการใช้โครงสร้างพื้นฐานของพลเรือนเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหารและใช้พลเรือนเป็นโล่มนุษย์ จึงเป็นเรื่องยากที่จะระบุข้อเท็จจริงในพื้นที่เขตสงคราม จึงมีความเห็นว่า ควรจัดส่งอาวุธให้แก่อิสราเอลต่อไปได้ แต่ก็ย้ำคำเตือนที่ว่าอาวุธที่ผลิตโดยสหรัฐฯ อาจถูกนำไปใช้ในกรณีที่ไม่สอดคล้องกับพันธกรณี กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หรือแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่กำหนดไว้สำหรับการบรรเทาอันตรายของพลเรือน



          รายงานตั้งข้อสังเกตว่า อิสราเอลมีความรู้ ประสบการณ์ และเครื่องมือในการบรรเทาความเสียหายของพลเรือนจากปฏิบัติการทางทหาร แต่มีคำถามว่า มีการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยอ้างอิงรายงานของหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ ที่ว่า “ไม่มีข้อบ่งชี้โดยตรงว่าอิสราเอลจงใจมุ่งเป้าโจมตีพลเรือน” แต่พวกเขาประเมินว่า “อิสราเอลสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับพลเรือน”



          นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังพบว่าอิสราเอลไม่ได้ร่วมมืออย่างเต็มที่กับความพยายามของสหรัฐฯ ในการเพิ่มความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซาในระดับสูงสุดในช่วงแรกของความขัดแย้ง แต่ขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว และ รายงานฉบับนี้ไม่ได้ประเมินว่าอิสราเอลมีการห้ามหรือจำกัดการขนส่ง หรือส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของสหรัฐฯไปยังฉนวนกาซา โดยย้ำว่า เป็นการยากที่จะประเมินหรือบรรลุข้อค้นพบที่แน่ชัดเกี่ยวกับเหตุการณ์แต่ละเหตุการณ์ เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่มีบุคลากรในพื้นที่ แต่พบว่ามีหลายเหตุการณ์ที่อิสราเอลมีการทำงานซึ่งทำให้เกิดความล่าช้าหรือส่งผลเสียต่อการให้ความช่วยเหลือ





          รายงานของกระทรวงการต่างประเทศฉบับนี้ มีความล่าช้าในการนำเสนอต่อสภาคองเกรส และเผยแพร่สู่สาธารณะเนื่องจากอิสราเอลไม่ได้ให้ข้อมูลที่เพียงพอในการตรวจสอบว่าอาวุธของสหรัฐฯ ถูกนำไปใช้ในการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ในฉนวนกาซาหรือไม่ โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ทำเนียบขาวสหรัฐฯ ได้ออกบันทึกความมั่นคงแห่งชาติ กำหนดให้อิสราเอลและประเทศอื่นๆ ที่ได้รับความช่วยเหลือทางทหารต้องให้คำรับรองเป็นลายลักษณ์อักษรว่าอาวุธที่สหรัฐฯ ส่งมาทั้งหมดถูกใช้ในลักษณะที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับความช่วยเหลือทางทหารในอนาคต



          สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรที่สำคัญของอิสราเอลในการใช้ปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซาซึ่งกินเวลานาน 7 เดือน เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้นานาชาติมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ด้านมนุษยธรรมเพิ่มมากขึ้น ชาวปาเลสไตน์เกือบ 35,000 คนถูกสังหารในฉนวนกาซา ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก และหัวหน้าโครงการอาหารโลกแห่งสหประชาชาติได้ประกาศ “ภาวะอดอยากอย่างเต็มรูปแบบ” ในพื้นที่ทางตอนเหนือ กับมีการออกคำเตือนหลายครั้งเกี่ยวกับ “ความเสี่ยงของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในดินแดนแห่งนี้ ทำให้ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีไบเดนเผชิญกับแรงกดดันมากขึ้น โดยเฉพาะภายในพรรคเดโมแครตของเขาเอง ที่แสดงความผิดหวังกับรายงานของกระทรวงการต่างประเทศ วุฒิสมาชิกคริส แวน ฮอลเลน ระบุว่า เป็นความล้มเหลวในการทำงานเพื่อการประเมินสถานการณ์ และหลบเลี่ยงที่จะตอบคำถามอย่างชัดเจน



...



#สหรัฐอเมริกา #อิสราเอล #ฉนวนกาซา #สภาคองเกรส

ข่าวทั้งหมด

X