ฝรั่งเศส อินเดีย รัสเซีย โปแลนด์ และ สหราชอาณาจักรออกคำเตือนพลเมืองของตนงดเว้นเดินทางไปยังอิสราเอล และดินแดนยึดครองในปาเลสไตน์ เนื่องจากอิหร่านประกาศว่าจะตอบโต้อิสราเอลที่ก่อเหตุโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในซีเรียเมื่อวันที่ 1 เมษายน (2567) ซึ่งมีสมาชิกกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามเสียชีวิต 7 คน รวมถึงนายพล 2 คน นำไปสู่ความกลัวว่าความรุนแรงในตะวันออกกลางจะเพิ่มสูงขึ้น
เมื่อวานนี้ (12 เม.ย.) กระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศของฝรั่งเศส ยังมีคำแนะนำพลเมืองของตนไม่ให้เดินทางไปอิหร่าน เลบานอน อิสราเอล และดินแดนปาเลสไตน์ ทั้งให้ครอบครัวของนักการทูตในอิหร่านเดินทางกลับมาฝรั่งเศสและห้ามเจ้าหน้าที่รัฐของฝรั่งเศสปฏิบัติภารกิจใดๆ ในประเทศและดินแดนที่เป็นปัญหา
สหราชอาณาจักรออกเตือนพลเมืองของตนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังอิสราเอลและปาเลสไตน์ยกเว้นการเดินทางที่จำเป็น จากนั้น สำนักงานการต่างประเทศและเครือจักรภพอังกฤษ มีคำเตือนเพิ่มเติม “ห้ามการเดินทางทั้งหมด” ไปยังอิสราเอลตอนเหนือ ฉนวนกาซา พื้นที่ใกล้ฉนวนกาซา และเวสต์แบงก์ที่ถูกยึดครอง ยกเว้นเยรูซาเลมตะวันออก และเส้นทางหมายเลข 1 ระหว่างเยรูซาเลมกับเทลอาวีฟ
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของโปแลนด์ แนะนำไม่ให้เดินทางไปอิสราเอล ปาเลสไตน์ และเลบานอน เนื่องจากปฏิบัติการทางทหารอาจยกระดับขึ้นอย่างฉับพลัน นำไปสู่ข้อจำกัดที่สำคัญในการจราจรทางอากาศ และการที่ไม่สามารถข้ามพรมแดนทางบก ซึ่งจะทำให้การเดินทางออกจากทั้ง 3 ประเทศเป็นไปอย่างยากลำบาก
และกระทรวงการต่างประเทศของไทย ออกประกาศระบุว่า ตามที่มีเหตุความตึงเครียดระหว่างอิสราเอลและอิหร่านเพิ่มมากขึ้นรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศมีความเป็นห่วงพี่น้องคนไทยในพื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบโดยตรง จึงได้สั่งการให้สถานเอกอัครราชทูตในภูมิภาคติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเทลอาวีฟ ได้จัดทำประกาศแจ้งเตือนคนไทยให้เตรียมความพร้อม รวมถึงแนวปฏิบัติในภาวะฉุกเฉินด้วยแล้ว ขอให้พี่น้องคนไทยตื่นตัว และติดตามการประกาศและการแจ้งเตือนต่าง ๆ ของสถานทูตไทยในภูมิภาคอย่างใกล้ชิด ขอให้ประชาชนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปพื้นที่ หากไม่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ในกรณีฉุกเฉินพี่น้องคนไทยสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือเร่งด่วนได้ที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในประเทศต่าง ๆ ทุกแห่ง
นาย จอห์น เคอร์บี โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่อิหร่านจะโจมตีอิสราเอล ซึ่งประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ มีความมุ่งมั่นสนับสนุนอิสราเอลในการป้องกันตนเอง
ส่วนสื่อในอิสราเอลรายงานว่า กองกำลังป้องกันตนเองมีการเตรียมความพร้อมต่อเนื่องหลังการโจมตีสถานกงสุลอิหร่านในซีเรีย โดยมีการเรียกทหารกองหนุน และเสริมระบบป้องกันภัยทางอากาศ
เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม กลุ่มฮามาสโจมตีพื้นที่ทางใต้ของอิสราเอล มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,100 คนและลักพาตัวชาวอิสราเอลและต่างชาติมากกว่า 250 คน อิสราเอลตอบโต้ด้วยการโจมตีฉนวนกาซา สังหารชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 33,600 คน บาดเจ็บมากกว่า 76,000 คน นอกจากนี้อิสราเอลยังโจมตีบุคลากรของอิหร่านและพันธมิตรในซีเรียและเลบานอน มีการโจมตีข้ามพรมแดนเลบานอนเพื่อโจมตีกลุ่มฮิซบุลเลาะห์ ซึ่งนักวิเคราะห์ เตือนว่านโยบายของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนอิสราเอลกำลังถูกท้าทาย เนื่องจากประธานาธิบดี ไบเดนกำลังหลีกเลี่ยงสงครามในภูมิภาคด้วยการกดดันให้อิสราเอลลดปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา และยอมรับนโยบาย 2 รัฐ แต่เมื่ออิสราเอลโจมตีอิหร่าน แล้วอิหร่านประกาศตอบโต้ ประธานาธิบดีไบเดน ก็ประกาศสนับสนุนอิสราเอลในทันที
นายทริตา ปาร์ซี รองประธานบริหารของสถาบันควินซี ซึ่งเป็นองค์กรคลังสมองที่ส่งเสริมการทูต กล่าวว่าสหรัฐฯ ติดอยู่ระหว่าง 2 นโยบายสำคัญที่ขัดแย้งกัน ได้แก่ การให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างไม่มีเงื่อนไข กับการป้องกัน ไม่ให้ความขัดแย้งในฉนวนกาซาขยายตัว นักวิชาการเห็นว่า ประธานาธิบดีไบเดนควรตำหนิอิสราเอลที่โจมตีสถานกงสุลอิหร่านเมื่อวันที่ 1 เมษายน เพราะเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และทำให้กองทหารสหรัฐฯ ในภูมิภาคตกอยู่ในอันตราย แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลับให้รางวัลแก่รัฐบาลอิสราเอลโดยสัญญาว่าจะเพิ่มการสนับสนุน
...
#อิสราเอล
#อิหร่าน
#สหรัฐอเมริกา
#สหภาพยุโรป
#ห้ามการเดินทาง