โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UN Development Program : UNDP) เผยแพร่รายงานระบุว่า เมียนมาที่เคยเป็นหนึ่งประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี เนื่องจากการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลาง แต่จากภาวะสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อหลายปี ผลักดันให้ประชาชนนับสิบล้านคนกลายเป็นคนยากจน ประชาชนร้อยละ 49.7 หรือเกือบครึ่งหนึ่งของประชากร 54 ล้านคนมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน คือวันละไม่ถึง 75 เซนต์ นางกันนี วิญญาราชา นักวิชาการของ UNDP อธิบายว่า โดยภาพรวมประชาชนในเมียนมาประมาณ 3 ใน 4 อยู่ในความยากจน
โดยในช่วงระหว่างปี 2554 ถึง 2562 เศรษฐกิจของเมียนมาเติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 6 แต่ภายในช่วงเวลา 3 ปีหลังจากที่กองทัพยึดอำนาจการปกครอง ในปี 2564 มีการกวาดล้างกลุ่มฝ่ายค้านและกลุ่มต่อต้านอย่างรุนแรง ต่อเนื่องด้วยการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ ทำให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปิดทำการ ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและรายได้ประชากร การลงทุนจากต่างประเทศลดลงอย่างรวดเร็ว และมีจำนวนแรงงานที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมาก
นายอาคิม สไตเนอร์ ผู้บริหาร UNDP กล่าวในการแถลงข่าวว่า หากไม่มีการเข้าแทรกแซงสถานการณ์เพื่อช่วยเหลือทั้งเงินสด อาหาร และบริการขั้นพื้นฐานบริการที่จำเป็นต่างๆ จำนวนคนยากจนในเมียนมาก็จะขยายตัว ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นต่อๆ ไป จึงขอให้ทุกภาคส่วนทั้งในเมียนมาและต่างประเทศ ให้ความช่วยเหลือชาวเมียนมาหลุดพ้นจากความยากจน ก่อนที่สถานการณ์จะเข้าสู่ขั้นที่ไม่สามารถแก้ไขได้
..
#เมียนมา
#UNDP