เมาแล้วขับยังพุ่ง! TDRI ชี้ รัฐบาลแก้กม.คุมแอลกอฮอล์ไม่ตรงจุด คุมเด็กเข้าถึงเหล้าไม่ได้ผล

09 เมษายน 2567, 21:16น.


          สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดงานสัมมนาสาธารณะ "ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จุดสมดุลเพื่อสังคมและเศรษฐกิจ" พร้อมนำเสนอผลการศึกษาเรื่องการทบทวนนโยบายและมาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อการส่งเสริมสมดุลด้านการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างยั่งยืน ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ผลการศึกษาพบอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สร้างรายได้จากการขายให้กับเศรษฐกิจเกือบ 6 แสนล้านบาท ภาครัฐมีรายได้จากภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปีละ 1.5 แสนล้านบาท แต่ก็ได้สร้างต้นทุนทางสังคมไม่ต่ำกว่า 1.7 แสนล้านบาท รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดผลกระทบทางสังคม โดยใช้มาตรการทางด้านราคาและไม่ใช่ราคา แต่ยังแก้ไม่ตรงจุดเนื่องจาก



1.สัดส่วนการดื่มของกลุ่มเด็กเยาวชน 15-19 ปี เข้าถึงสุราไม่ได้ลดลง และ



2.จำนวนผู้เสียชีวิตจาก "เมาแล้วขับ" ยังมีแนวโน้มสูง ยกเว้นช่วงโควิด จึงควรมีการปรับปรุงกฎหมายและกำกับควบคุมให้มีประสิทธิผลและธรรมาภิบาล



          ผลวิจัยครั้งนี้ งานวิจัยในต่างประเทศ และงานวิจัยในประเทศให้ข้อสรุปตรงกันใน เรื่องลำดับความสำคัญของการควบคุมการเข้าถึงสุราของเด็กและเยาวชน และการลดความเสี่ยง/สูญเสีย/เสียหายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดื่มสุรา โดยมาตรการแทรกแซงที่มีประสิทธิผลสูงสุดในการลดการบริโภคและความเสี่ยงจากโรค NCDs ที่เกี่ยวข้องกับสุรา คือ ภาษี มาตรการจิตวิทยา การควบคุมการเข้าถึงสุรา ส่วนการคุมการโฆษณาได้ผลต่ำสุด จึงมีข้อเสนอ 3 ข้อ ได้แก่ 1.มุ่งเน้นการปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์  2.ลดปัญหาการบังคับใช้กฎหมายในทางที่ผิด และ 3.มุ่งเน้นการลดผลกระทบเชิงลบทางสังคม



          น.ส.ธารทิพย์ ศรีสุวรรณเกศ นักวิจัยอาวุโส ด้านนโยบายการกำกับดูแลที่ดี ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลกระทบต่อต้นทุนแก่สังคมไทย 1.7 แสนล้านบาท พบว่า เป็นผลกระทบด้านสุขภาพมากที่สุดร้อยละ 55 คิดเป็น 9.4 หมื่นล้านบาท รองลงมาคือ อุบัติเหตุทางถนนร้อยละ 31 กว่า 5.3 หมื่นล้านบาท ปัญหาการบาดเจ็บต่างๆ ร้อยละ 10  คิดเป็น 1.7 หมื่นล้านบาท และอาชญากรรม ร้อยละ 4 คิดเป็น 7 พันล้านบาท ทีมวิจัยได้ลงพื้นที่สำรวจร้านค้าและผู้บริโภคใน กรุงเทพและปริมณฑล รวมทั้งเมืองใหญ่อย่างขอนแก่น เชียงใหม่ และภูเก็ต พบว่า มีร้านค้าถึงร้อยละ 30 ที่ขายเหล้า-เบียร์ ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี  ขายใกล้สถานศึกษากว่าร้อยละ23  เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ร้านของชำมากที่สุด ร้อยละ36 ร้านสะดวกซื้อร้อยละ 35 ร้านอาหารร้อยละ 26 และออนไลน์ร้อยละ 3 การดื่มครั้งแรกมาจากเพื่อนหรือคนใกล้ชิด ร้อยละ 62 คอนเทนต์ในสื่อต่างๆร้อยละ 7.23 และโฆษณาในสื่อออนไลน์ร้อยละ 4.82 แรงจูใจเฉลี่ยของสื่อที่มีผลต่อการจูงใจให้ดื่มจาก 5 คะแนน พบว่า คอนเทนต์ในรายการ/โซเชียลมีเดียต่างๆ อยู่ที่  2.53 คะแนน โฆษณาจากโซเชียลมีเดีย 2.43 คะแนน



          สำหรับข้อเสนอการปกป้องและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คือ



1.แก้ไขมาตรา 32 พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 โดยให้โฆษณาได้ แต่ต้องไม่พุ่งเป้าไปที่เด็กและเยาวชนต่ำกว่า 20 ปี เช่น ห้ามมีป้ายโฆษณาใกล้สถานศึกษาระยะ 1 กิโลเมตร ห้ามโฆษณาผ่านสื่อกระแสหลักตามช่วงเวลาที่ กสทช.กำหนด ห้ามโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยแพลตฟอร์มต้องมีหน้าที่ในการจำกัดเนื้อหาการโฆษณาที่เจาะจงกับเด็ก, ห้ามโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณ



2.เพิ่มบทลงโทษกรณีขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งปัจจุบันโทษอยู่ที่จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท ขณะที่โทษโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท ปรับอีกวันละไม่เกิน 5 หมื่นบาท ซึ่งต่างประเทศโทษเรื่องของจำหน่ายให้เด็กและเยาวชนสูงมากโดยอาจเพิ่มมาตรการระงับกิจการชั่วคราวกี่วัน ตามระดับความหนักเบาหรือระดับความเสียหาย แต่หากพบว่ามีการกระทำผิดซ้ำควรพิจารณายกเลิกใบอนุญาตประกอบกิจการ และ



3.เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เพิ่มช่องทางการรับแจ้งออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน



          ส่วนข้อเสนอเรื่องลดปัญหาการบังคับใช้กฎหมายในทางที่ผิด มีข้อเสนอให้ยกเลิกสินบนรางวัล เนื่องจากการดำเนินคดีตั้งแต่ปี 2561-2565 ส่วนมากเป็นการฝ่าฝืนโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ได้มีความเสี่ยงที่เจ้าหน้าที่จะได้รับอันตรายจากการปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด นอกจากนี้ แม้ว่าสินบนรางวัลอาจสร้างแรงจูงใจให้มีส่วนร่วมในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิด แต่อาจมีการใช้ประโยชน์ในทางที่ผิด 



          น.ส.ณิชมน ทองพัฒน์ นักวิจัยอาวุโสด้านนโยบายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ ทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ข้อเสนอมุ่งเน้นการลดผลกระทบเชิงลบทางสังคมนั้น เราพบว่า การบริโภคแอลกอฮอล์ทำให้เกิดภาระต่อสังคมในรูปแบบ คือ ความสูญเสียความสามารถในการผลิต ผู้รับผลกระทบขาดรายได้ 1.3 แสนล้านบาท ค่ารักษาพยาบาลจากโรคที่เกิดจากการดื่มสุราและอุบัติเหตุทางถนน 1.8 หมื่นล้านบาท สูญเสียคุณภาพชีวิตและจิตใจผู้ประสบอุบัติเหตุและครอบครัว 1.5 หมื่นล้านบาท สูญเสียทรัพย์สินจากอุบัติเหตุ 6.2 พันล้านบาท และต้นทุนการดำเนินคดี 1.8 พันล้านบาท





          ข้อเสนอคือเพิ่มภารกิจให้กองทุน สสส. ใช้จ่ายเงินกองทุนจากการ Earmark tax (กองทุนเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ) สำหรับเป็นงบประมาณเพิ่มเติมในการทำงานเพื่อลดปัญหาผลกระทบเชิงลบทางสังคมที่มีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดสุราเรื้อรัง ช่วยเหลือและเยียวยา ผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต และครอบครัว จากอุบัติเหตุดื่มขับ รวมไปถึงสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อตั้งจุดตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ได้อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี  นอกจากนี้ ในระยะยาวควรมีการปรับแนวทางการกำหนดค่าเสียหายในทางแพ่งเพื่อชดเชยแก่ผู้เสียหายอย่างเป็นธรรมและสะท้อนมูลค่าทางเศรษฐกิจของผู้เสียหายอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในกรณีอุบัติเหตุ “เมาแล้วขับเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”



          ส่วนการป้องปรามการ “ดื่มขับ” ควรต้องปรับเกณฑ์การตัดแต้มใบขับขี่เพื่อคัดกรองผู้ที่ดื่มขับออกจากถนนให้เร็วขึ้น โดยควรปรับเกณฑ์การตัดแต้มใบขับขี่เป็นขั้นบันไดตามปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด และตัดแต้มเพิ่มขึ้นหากกระผิดซ้ำ, ควรเก็บข้อมูลระดับแอลกอฮอล์กับการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อศึกษาเพิ่มเติมในการกำหนดแนวทางการตัดแต้มตามระดับแอลกอฮอล์, ปรับแนวทางการตั้งด่านจุดตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วม และทบทวนมาตรการเปิดผับถึงตี 4 เพื่อลดผลกระทบจากอุบัติเหตุดื่มขับ ซึ่งหลังจากมีการขยายเวลาปิดให้บริการผับถึงตี 4 ตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2566 มีข้อมูลจากกองป้องกันการบาดเจ็บ กรมควบคุมโรค ที่ได้ติดตามข้อมูลเฝ้าระวังการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุดื่มขับ พบแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 21 อัตราผู้ขับขี่ที่ดื่มขับแล้วเกิดอุบัติเหตุทางถนนเพิ่มขึ้นเกือบทุกช่วงเวลา โดยเฉพาะในช่วงตี 4-5 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16  และยังพบว่าเกิดความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อประชาชนทั่วไปที่เริ่มทำกิจกรรมทางสังคมในช่วงเวลาตี 4-5



 



#เมาแล้วขับ



#คุมเหล้าไม่ได้

ข่าวทั้งหมด

X