หลังการเข้าหารือกับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และหน่วยงานด้านความมั่นคง ถึงสถานการณ์ในเมียนมา นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ย้ำว่า เครื่องบินเมียนมา ที่เข้ามาลงจอดที่ท่าอากาศยานแม่สอด จ.ตาก ไม่ใช่เครื่องบินทหารของเมียนมา แต่หากมีกรณีที่รัฐบาลทหารเมียนมาล่วงละเมิดน่านฟ้าไทย ยืนยันว่า กองทัพพร้อมดูแลจะไม่ให้มีเรื่องนี้เกิดขึ้น โดยเครื่องบินเมียนมา ขอเข้ามาจอดในสนามบินแม่สอด มีการแจ้งประสานขอมาหรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า เป็นการขออนุญาตเข้ามาอย่างปกติ และถูกต้อง ซึ่งเป็นการขอมาจากทางสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำไทย เพื่อขอความร่วมมือ หากมีประชาชนได้รับผลกระทบในด้านมนุษยธรรม ซึ่งมีการขออนุญาตทำการบินมา 3 ครั้ง แต่ก็ได้ยกเลิกไปแล้ว
รองนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้ลี้ภัยเข้ามา แต่มีชาวเมียนมาเข้ามาอย่างประปรายตามปกติ ยอมรับว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะเมืองเมียวดีที่มีชายแดนติดกับ อ.แม่สอด จ.ตาก โดยการบริหารจัดการนั้นมีทั้งกระทรวงมหาดไทย และกองทัพบก (ทบ.) รับทราบแล้ว และยืนยันว่า ขณะนี้สถานการณ์ในแม่สอดยังสงบ แม้ว่าการค้าขายที่อาจติดขัด และไม่น่าเกิดความรุนแรงอะไร เนื่องจากแม่สอด และเมียวดีเป็นพื้นที่เศรษฐกิจโดยตรง
ส่วนข้อสงสัยที่ว่าเครื่องบินพาณิชย์ขนอะไรกลับไปนั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า เป็นการขนเอกสารราชการ จากเดิมที่คาดว่าจะมีประชาชนชาวเมียนมามาด้วย อาจเป็นข้าราชการ แต่เมื่อเขาเจรจากันได้ จึงทำให้ข้าราชการไม่ได้เข้ามา ทั้งนี้ ในทางการทูตไม่ว่าจะประเทศใดก็ตาม รัฐบาลไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ เพราะเป็นความลับ และผ่านการตรวจสอบจากชายแดนมาแล้ว ก่อนจะเดินทางมายังท่าอากาศยานแม่สอด พร้อมย้ำว่า การขนส่งไม่มีอาวุธ ไม่มีกำลังพล ไม่มีทหาร และชาวเมียนมาที่จะเดินทางเข้ามา มีเพียงแต่เอกสารราชการที่ดำเนินการส่งกันไป และไม่มีการแจ้งว่า มีการขนเงินตามที่ระบุเป็นข่าว
สำหรับการหารือ ระหว่างนายกรัฐมนตรีและฝ่ายความมั่นคงนั้น เพราะเป็นห่วงสถานการณ์ที่จะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทยเตรียมรองรับเรื่องนี้มานานแล้ว โดยคาดว่าจะมีจำนวนหลักแสนคนที่เข้ามาอยู่ในที่พักพิงชั่วคราว และถ้าหากมีมากกว่าหลักแสนก็สามารถดำเนินการได้ รวมถึงกระทรวงการต่างประเทศได้ติดต่อต่างประเทศแล้วว่า หากมีความรุนแรง และมีผู้ลี้ภัยเข้ามา ซึ่งไม่อยู่ในวิสัยที่เราจะดำเนินการได้โดยลำพัง ส่วนเรื่องการค้าชายแดนซึ่งมีความน่าเป็นห่วงนั้น ปัจจุบันการค้าชายแดนลดลงอย่างมาก มีผู้ประกอบการประมาณ 130,000 ราย และมีการค้าขายไปประมาณ ร้อยละ 3 ถ้าหากชายแดนถูกปิดก็จะต้องใช้ด่านอื่น เช่น ด่านที่ จ.ระนอง หรือในพื้นที่อื่น แต่ตอนนี้ยืนยันว่า ศุลกากร และตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ยังทำงานปกติ
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างประเทศว่า ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเจรจาเนื่องจากรัฐบาลทหารเมียนมา (SAC) อ่อนกำลังลง รวมทั้งจะเป็นการเจรจาแบบทวิภาคีกับ SAC หรือกองกำลังชาติพันธุ์อื่น ๆ ด้วยนั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า การเจรจากับกลุ่มอื่น ๆ เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ครบทุกกลุ่ม แม้ว่าตอนนี้รัฐบาลทหารจะควบคุมได้อยู่ แต่ก็ยังมีหลายพื้นที่ที่ต้องเจรจา ย้ำว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องทำ
นายปานปรีย์ ระบุว่า รัฐบาลไทยเป็นกลางแน่นอน และมีความคาดหวังให้เกิดสันติสุขในเมียนมา ดังนั้น จึงต้องทำทุกวิถีทางให้เกิดความสงบสุข เพราะไทยได้รับผลกระทบมากที่สุด
แฟ้มภาพ
#เมียนมา