หลังเกิดเหตุการณ์เรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ ชนตอม่อ ทำให้ สะพานฟรานซิส สกอตต์ คีย์ (Francis Scott Key Bridge) ในเมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ของสหรัฐอเมริกาพังถล่มลงมา นับเป็นโศกนาฏกรรมที่สร้างความสูญเสียมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในแวดวงการประกันภัยการขนส่งทางเรือ เนื่องจากเป็นท่าเรือที่พลุกพล่านที่สุดของสหรัฐ ได้รับผลกระทบจนต้องปิดให้บริการ และยังไม่ชัดเจนว่า ท่าเรือแห่งนี้ จะเปิดให้บริการอีกครั้งได้เมื่อใด
ด้านเหล่าบริษัทประกันและบรรดานักวิเคราะห์ต่างกำลังประเมินความเสียหายที่บริษัทประกันภัยต้องแบกรับ ทั้งในส่วนของทรัพย์สิน สินค้า การเดินเรือ หนี้สิน เครดิตการค้า และการหยุดชะงักทางธุรกิจ พบว่า บริษัทประกันอาจต้องจ่ายเงินชดเชยรวมกันมากถึง 4 พันล้านดอลลาร์
นายมาร์กอส อัลวาเรซ กรรมการผู้จัดการฝ่ายจัดอันดับการประกันภัยทั่วโลกของบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ ดีบีอาร์เอส (Morningstar DBRS) กล่าวว่า "บรรดาบริษัทประกันภัยอาจต้องจ่ายเงินชดเชยราว 2-4 พันล้านดอลลาร์ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการปิดท่าเรือ และความคุ้มครองของการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงักของท่าเรือบัลติมอร์" โดยอาจทุบสถิติการจ่ายเงินชดเชยในเหตุโศกนาฏกรรมเรือสำราญ คอสตา คอนคอร์เดีย (Costa Concordia) เมื่อปี 2555
ส่วน อิมแพลน (IMPLAN) บริษัทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ระบุว่า จากการประมาณการเบื้องต้น ค่าใช้จ่ายในการสร้างสะพานใหม่ซึ่งรัฐบาลกลางน่าจะเป็นผู้จ่ายนั้น อยู่ที่ 600 ล้านดอลลาร์ นอกจากนั้นยังประมาณการว่าการปิดท่าเรือเพียง 1 เดือนอาจสร้างความเสียหายให้กับรัฐแมริแลนด์มากถึง 28 ล้านดอลลาร์
ก่อนหน้านี้ เจนนิเฟอร์ โฮเมนดี ประธาน คณะกรรมการความปลอดภัยด้านการขนส่งแห่งชาติของสหรัฐ หรือ เอ็นทีเอสบี ได้ขึ้นไปบนเรือสินค้าที่ชนสะพาน เพื่อตรวจสอบความเสียหาย จากนั้นได้แถลงข่าวระบุว่า มีตู้สินค้าอย่างน้อย 56 ตู้ ที่มีวัสดุอันตราย 764 ตัน อยู่บนเรือลำนี้และตู้สินค้าบางส่วนได้รับความเสียหาย เอ็นทีเอสบี ยืนยันว่า มีคนอยู่บนเรือสินค้าทั้งหมด 23 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่นำร่อง 2 คน โดยสภาพของสะพานเป็นที่น่าพอใจเมื่อครั้งมีการตรวจสอบเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ส่วนการสอบสวนว่า อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้สะพานถล่มอาจจะต้องใช้เวลาระหว่าง 12-24 เดือน
#ขนส่งทางเรือ
#ท่าเรือบัลติมอร์
#ส่งออกสหรัฐ