ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ แถลงนโยบายประจำปีต่อที่ประชุมรัฐสภา เป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งมีเนื้อหาส่วนใหญ่เกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยมีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังเป็น “ที่อิจฉาของโลก” ซึ่งอ้างอิงชุดข้อมูลทางเศรษฐกิจ การสร้างงานใหม่ และจำนวนผู้ว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำสุด ที่ว่ามีงานใหม่ 15 ล้านตำแหน่งในห้วงเวลา 3 ปี การว่างงานต่ำสุดในรอบ 50 ปี ชาวอเมริกันจำนวน 16 ล้านคนกำลังเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็ก และว่า การกลับมาของอเมริกาคือการสร้างอนาคตแห่งโอกาสสำหรับชาวอเมริกัน สร้างเศรษฐกิจจากส่วนกลางและจากฐานล่างขึ้นไป ลงทุนในอเมริกากับชาวอเมริกันทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนมีโอกาสที่เท่าเทียมกันและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
นักเศรษฐศาสตร์จากหลายสำนักชี้ว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด19 ในรัฐบาลทรัมป์จากรีพับลิกันมีการปิดกิจการและมีการเลิกจ้างงานจำนวนมาก และเมื่อนายไบเดนจากเดโมแครตเข้ามารับตำแหน่งคือช่วงที่สถานการณ์คลี่คลายลง เศรษฐกิจฟื้นตัว ในปีที่แล้ว (2566) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 เป็นระดับที่ดีกว่าประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้วแห่งอื่นๆ และขัดแย้งกับคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอย ทั้งอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ต่ำกว่าร้อยละ 3
เป็นการชูผลงานด้านเศรษฐกิจพร้อมไปกับการปกป้องเสรีภาพอเมริกัน ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีปลายปีนี้ แต่สารเกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เรียกกันว่าไบเดนโนมิกส์ (Bidenomics) ยังไม่เป็นที่ประทับใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผลการสำรวจความเห็นของสถาบันต่าง ๆ เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้ความเชื่อมั่นนโยบายด้านเศรษฐกิจของนายไบเดนน้อยกว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีที่จะกลับมาเป็นคู่แข่งอีกครั้ง
นายทรัมป์โพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ Truth Social ระหว่างที่นายไบเดนกำลังกล่าวแถลงนโยบายว่า นายไบเดนดูเหมือนโกรธเวลาที่พูด ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่รู้ตัวว่ากำลัง 'พ่ายแพ้' และว่า ความโกรธและการตะโกนเสียงดังไม่ได้ช่วยให้ประเทศนี้กลับมารวมกันได้อีกครั้ง
CNN ระบุว่า ตัวเลขต่าง ๆ ที่นายไบเดนอ้างถึงในการแถลงนโยบายนั้นถูกต้อง แต่ไม่ได้อธิบายถึงวิธีการลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลาง และไม่ได้บอกความจริงที่ว่า ในช่วงรัฐบาลทรัมป์มีการใช้เงินงบประมาณจำนวนมากในห้วงที่มีโรคระบาด ดังนั้นในรัฐบาลถัดมาจึงย่อมใช้งบประมาณจำนวนที่น้อยกว่า ทั้งมีการอ้างอิงที่ไม่ถูกต้องจนทำให้ผู้ฟังเกิดความสับสนเข้าใจผิดว่า บริษัทใหญ่ๆ คือผู้ที่จ่ายภาษีเงินได้ให้แก่รัฐบาลกลาง
ส่วนนักวิเคราะห์ของอัลจาซีเราะห์ ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ในระหว่างการแถลงนโยบายนายไบเดนจะไม่ได้เอ่ยชื่อของนายทรัมป์โดยตรง โดยเลี่ยงไปใช้คำว่า ผู้นำคนก่อน (predecessor) แต่ปรากฏว่า เขาจะอ้างอิงถึงอย่างน้อย 10 ครั้งหรือทุกหัวข้อของนโยบาย จึงควรเรียกว่านี่คือการหาเสียงเลือกตั้งมากกว่าการแถลงนโยบายประจำปี ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติ
…
#โจไบเดน
#โดนัลด์ทรัมป์
#สหรัฐอเมริกา