สถานการณ์สายพันธุ์โควิด-19 ในประเทศไทย นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในช่วงเดือนต.ค. 66 สายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.9.2* เป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในประเทศไทยแทนที่ XBB.1.16* จนกระทั่งต้นปี 67 เริ่มลดลง ในขณะที่ JN.1* มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ซึ่งยังไม่พบว่ามีระดับความรุนแรงของโรคเพิ่มขึ้นจากสายพันธุ์เดิม และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในปัจจุบัน
สำหรับผลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด-19 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระหว่างวันที่ 23 ธ.ค. 66-23 ม.ค. 67 จำนวน 234 ราย พบข้อมูล ดังนี้ ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ลูกผสมกระจายทุกเขตสุขภาพ โดยสายพันธุ์ JN.1* พบสัดส่วนมากที่สุดเป็น 33.5% ถัดมาคือ EG.5* (สายพันธุ์ย่อยของ XBB.1.9.2*) เป็น 27.5%, BA.2.86* เป็น 21%, XBB.1.16* เป็น 7.3% (เขตสุขภาพที่ยังไม่พบ JN.1* ได้แก่ เขตสุขภาพที่ 8, 9 และ 10 ส่วนเขตสุขภาพที่ 3 ไม่มีตัวอย่างทดสอบ)
สัดส่วนของ BA.2.86* เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ย. ธ.ค. 66 และม.ค. 67 ดังนี้ 11.4%, 21.8% และ 22.3% ตามลำดับ เช่นเดียวกับ JN.1* มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ย. ธ.ค. 66 และม.ค. 67 ดังนี้ 2.2%, 20.3% และ 43.7% ตามลำดับ
สำหรับสถานการณ์ภาพรวมทั่วโลกจากฐานข้อมูลกลาง GISAID รอบสัปดาห์ที่ 52 (วันที่ 25-31 ธ.ค. 66) สายพันธุ์ในกลุ่ม เฝ้าระวัง (Variants of Interest: VOI) ที่พบมากที่สุด ได้แก่ JN.1* ในสัดส่วน 65.5% ถัดมาคือ EG.5* 16.6% โดย EG.5* มีอัตราการพบที่ค่อยๆ ลดลง แต่ในขณะที่ JN.1* มีอัตราการพบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบ 28 วัน และจากความได้เปรียบในการเติบโตและคุณลักษณะหลบภูมิคุ้มกัน จึงมีความเป็นไปได้ว่า JN.1* จะเพิ่มมากขึ้น และจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักในระดับประเทศหรือทั่วโลก
ในขณะที่สายพันธุ์ในกลุ่มที่ต้องจับตามอง (Variants under monitoring: VUM) ที่พบมากที่สุด ได้แก่ XBB.1.9.1* ในสัดส่วน 1.8% และ DV.7* ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีการกลายพันธุ์บนส่วนหนามสองตำแหน่งติดกัน คือ L455F และ F456L มีอัตราการพบที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยจากฐานข้อมูลกลาง GISAID มีรายงานการพบสายพันธุ์ DV.7* ทั่วโลกจำนวน 5,275 ราย โดยปัจจุบันยังไม่พบมีรายงานการเพิ่มความรุนแรงของโรค
#โควิด19