นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ แนะหน่วยงานรัฐ ต้องวิเคราะห์ว่าต้องใช้แนวทางใดกระตุ้นเศรษฐกิจ หลัง จีดีพีปี 66 โตแค่ร้อยละ 1.8

25 มกราคม 2567, 16:38น.


          หลังเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ขยายตัวต่ำกว่าร้อยละ 2 ซึ่งถือว่าเหนือความคาดหมาย นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า ตัวเลขอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2566 ที่กระทรวงการคลังแถลงออกมาเติบโตเพียงร้อยละ 1.8 ถือว่าเป็นอัตราต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มากและเป็นเรื่องที่น่ากังวลและเกินคาด และยังประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2567 จะโตต่ำกว่าร้อยละ 3 หรือเติบโตเพียงร้อยละ 2.8 เท่านั้น เป็นสิ่งที่ต้องมาวิเคราะห์และประเมินว่าเกิดจากปัญหาหรือมีอุปสรรคอะไรที่มีการคาดการณ์ตัวเลขดังกล่าวออกมา



          โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะต้องกลับมาวิเคราะห์ว่าจะใช้แนวทางใดเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจไทยกลับเติบโตเกินร้อยละ 3 โดยเห็นว่ามาตรการที่จะต้องเดินหน้าควบคู่กันไป คือ มาตรการด้านการคลังและมาตรการด้านนโยบายการเงินที่จะต้องออกมาเสริมให้เศรษฐกิจปี 2567 มีความจำเป็นอย่างยิ่ง แม้เป็นที่ทราบนโยบายด้านการคลังขณะนี้มีขั้นตอนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 กำลังเดินหน้า คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ในช่วงกลางปีนี้ ขณะที่นโยบายด้านการเงินหน่วยงานที่กำกับดูแลจะต้องพิจารณาผ่อนคลายเพื่อให้มีเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบและลดต้นทุนด้านสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการพร้อมเสริมสินเชื่อใหม่ๆให้กับผู้ประกอบการโดยผ่านธนาคารของรัฐ



          หากดูตัวเลขอัตราการเติบโตในปี 2567 ที่คาดว่าจะโตเพียงแค่ร้อยละ 2.8 ตามที่กระทรวงการคลังคาดไว้ยังถือว่า เป็นตัวเลขที่ต่ำ ดังนั้นหากมาตรการด้านการคลังและมาตรการด้านการเงินสามารถเดินหน้าไปได้เต็มที โอกาสที่เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตเกินร้อยละ 3 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยปี 2567 น่าจะโตเกินร้อยละ 3 ได้ และหากมีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเศรษฐกิจไทยเติบโตร้อยละ 3.2 แต่สิ่งที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการควบคู่กันไปคือ มีโครงการลงทุนใหม่ๆให้เกิดขึ้น ไปพร้อมมาตรการเติบสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจเอสเอ็มอีไทยเพื่อให้เศรษฐกิจไทยเดินหน้าต่อไปได้



          ดังนั้น สิ่งที่มีนัยยะสำคัญจากมุมมองกระทรวงการคลังที่ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายทั้งๆ ที่การส่งออกติดลบน้อยลง แสดงว่าปัญหาอยู่ที่ภาคบริการ ซึ่งน่าจะเป็นตัวที่กระทรวงการคลังมอง เพราะภาคบริการ นักท่องเที่ยวเป็นไปตามเป้าที่ 28 ล้านคน จึงเป็นจุดที่น่าสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบเศรษฐกิจ ภาคบริการมีอะไรช็อตหรือไม่ หรือภาคธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ ซึ่งมองว่ากระทรวงการคลังและผู้วางนโยบายจำเป็นต้องกลับไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเศรษฐกิจที่โตต่ำกว่าศักยภาพทั้งๆ ที่มีคณะรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็มเป็นโมเมนตัมที่น่าเสียดายที่เศรษฐกิจหลุดเป้าต่ำกว่า ร้อยละ 2  ทั้งๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง สภาพัฒน์ ธนาคารโลก ต่างคาดการณ์ไว้ว่าเศรษฐกิจไทยจะโตประมาณร้อยละ 2.5



 



#เศรษฐกิจไทย



 

ข่าวทั้งหมด

X