ศาลรธน.ชี้ 'ศักดิ์สยาม' พ้นตำแหน่งรัฐมนตรีตั้งแต่ 3 มี.ค.66 เหตุถือหุ้นบุรีเจริญฯ

17 มกราคม 2567, 15:11น.


          ศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยเรื่องพิจารณาที่ 8/2566 ในวันพุธที่ 17 ม.ค. 2567 คดีกล่าวหานายศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีต รมว.คมนาคม ว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายศักดิ์สยาม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ กรณียังคงไว้ซึ่งหุ้นส่วนและยังคงเป็นผู้ถือหุ้นและเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นอย่างแท้จริง ซึ่งจะทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหุ้นหรือกิจการของห้างหุ้นส่วน เป็นการกระทำอันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ



          โดยศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยว่า จากข้อพิรุธหลายอย่าง ฟังได้ว่าผู้ถูกร้องกับนายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ นำเงินผู้ถูกร้องมาทำธุรกรรมต่างๆ ในนามนายศุภวัฒน์ และนำมาซื้อกองทุนทีเอ็มบี ในชื่อนายศุภวัฒน์ และขายกองทุนมาชำระค่าหุ้นให้ผู้ถูกร้อง 159 ล้าน ซึ่งยังเป็นของผู้ถูกร้อง ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในบุรีเจริญ โดยนายศุภวัฒน์ เป็นผู้ครอบครองหุ้นบุรีเจริญแทนผู้ถูกร้องมาตลอด อันเป็นการถือหุ้นของรัฐมนตรี อยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น เป็นการกระทำต้องห้าม ม.187 ดังนั้น ความเป็นรมต.ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตาม 170 วรรคหนึ่ง (5)



          นอกจากนั้น จากการตรวจสอบเอกสารบริษัทหลักทรัพย์และบัญชีธนาคารของนายศักดิ์สยาม บัญชีธนาคารของนายศุภวัฒน์และบัญชีของบริษัทศิลาชัยฯ พบว่าเงินที่นายศุภวัฒน์นำมาชำระค่าโอนหุ้น หจก.บุรีเจริญฯ รวม 3 งวด จำนวนเงิน 119.5 ล้านบาท พบว่าเป็นเงินมาจากการขายกองทุน โดยจากการตรวจสอบบัญชีธนาคารพบว่าเงินที่นายศุภวัฒน์นำมาซื้อกองทุนเป็นเงินที่ถูกโอนมาจากบริษัทศิลาชัยฯ และยังพบว่ามีเงินที่โอนจากบัญชีของนายศักดิ์สยามให้แก่บริษัทศิลาชัยฯ และยังพบว่ามีเงินที่โอนมาจากบัญชี หจก.บุรีเจริญฯ มาให้นายศุภวัฒน์ใช้ซื้อกองทุนด้วยเช่นกัน



          แม้จะมีการอ้างว่าการโอนเงินจากบริษัทศิลาชัยฯ และ หจก.บุรีเจริญฯ ให้แก่นายศุภวัฒน์ เพื่อคืนเงินสำรองจ่ายให้แก่นายศุภวัฒน์ แต่ข้อเท็จจริงขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายศุภวัฒน์ ที่ชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพบข้อเท็จจริงที่ขัดแย้งกับการทำสัญญากู้ยืมเงินระหว่างบริษัทศิลาชัยฯและนายศุภวัฒน์ ซึ่งไม่สอดคล้องกับงบการเงินบริษัท และการอ้างว่าบริษัทศิลาชัยฯได้รับความเสียหายจากการทุจริต จนขาดสภาพคล่อง และต้องให้นายศุภวัฒน์จ่ายเงินสำรองการเตรียมเครื่องจักรและเตรียมโม่หินไปก่อนนั้น ก็ขัดแย้งกับงบการเงินบริษัท อีกทั้งในปี 2560 บริษัทมีการจัดซื้อเครื่องบินด้วย และยังไม่พบหลักฐานว่านายศุภวัฒน์ได้จ่ายเงินให้กับคู่ค้าบริษัทศิลาชัยฯแต่อย่างใด เช่นเดียวกับกรณี หจก.บุรีเจริญฯ ที่อ้างว่ากู้ยืมเงินจากนายศุภวัฒน์กลับย้อนแย้งกับงบการเงินของบริษัท และยังไม่พบเอกสาร



          เมื่อพิจารณาจากข้อพิรุธหลายประการ และพยานแวดล้อมที่น่าเชื่อถือ ย่อมเชื่อได้ว่าเงินที่นายศุภวัฒน์ นำมาซื้อกองทุน 2 รายการ จำนวน 35 ล้านบาท และ 56 ล้านบาท ไม่ได้เกิดจากธุรกรรมการกู้ยืมเงินหรือสำรองค่าใช้จ่ายต่างๆ ตามที่กล่าวอ้าง ประกอบกับแม้เงินที่นายศุภวัฒน์นำมาซื้อกองทุนดังกล่าวไม่ได้โอนเงินมาจากบัญชีนายศักดิ์สยาม แต่นายศักดิ์สยามขณะนั้นมีอำนาจในบริษัททั้ง 2 แห่ง ซึ่งมีอำนาจใช้จ่ายเงินของบริษัท พิสูจน์ได้จากการซื้อเครื่องบินตามความประสงค์ของนายศักดิ์สยาม จึงเชื่อได้ว่า เงินที่นายศุภวัฒน์นำมาชำระค่าโอนหุ้นเป็นเงินของนายศักดิ์สยามและยังพบว่าเงินในบัญชีของนายศุภวัฒน์เป็นการโอนเข้าและโอนออก ไม่ได้มีเงินฝากในบัญชีมากถึง 1,000 ล้านบาทตามที่กล่าวอ้าง และไม่ปรากฏพยานหลักฐานใดว่า นายศุภวัฒน์ประกอบธุรกิจกับบริษัทศิลาชัยฯ หจก.บุรีเจริญฯ ตามที่กล่าวอ้าง



           ส่วนที่กล่าวอ้างว่าการที่เป็นพนักงานบริษัทศิลาชัย เนื่องจากเรื่องประกันสังคมและไม่ได้คำนึงเรื่องจำนวนเงินเดือนที่ได้ค่าตอบแทนเดือนละ 9,000 บาท ซึ่งจุดนี้คำชี้แจงของนายศุภวัฒน์มีพิรุธหลายจุด จึงเชื่อได้ว่านายศุภวัฒน์ไม่สามารถชำระค่าโอนหุ้นดังกล่าวได้



          นอกจากนั้นยังพบว่าที่ตั้ง หจก.บุรีเจริญฯ มีการเปลี่ยนที่อยู่จากบ้านของนายศักดิ์สยาม ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเพียง 23 วัน และยังพบว่าอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และอยู่ในพื้นที่ของบริษัทศิลาชัยฯ ด้วย และมีข้อน่าสงสัยว่านายศักดิ์สยามยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว



          ส่วนการบริจาคเงินของนายศุภวัฒน์ให้พรรคภูมิใจไทยขณะที่นายศักดิ์สยามเป็นเลขาธิการพรรคนั้น พบว่า นายศุภวัฒน์บริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย โดยบริจาคในนามส่วนตัวเป็นงานวิจัย จำนวน 2.7 ล้านบาท ในปี 2562 และบริจาคในนาม หจก.บุรีเจริญฯ 4 ล้านบาท ในปี 2562 และ 6 ล้านบาท ในปี 2565 ซึ่งพบว่า ก่อนหน้านั้นนายศุภวัฒน์และ หจก.บุรีเจริญ ไม่เคยบริจาคเงินหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทยมาก่อน ที่จะมีการโอนหุ้น แต่หลังจากโอนหุ้นแล้ว กลับมีการโอนเงินให้พรรคการเมืองที่นายศักดิ์สยามเป็นเลขาธิการได้



          จากพฤติการณ์คดีฟังได้ว่านายศักดิ์สยาม ตกลงกับนายศุภวัฒน์ โดยใช้เงินของนายศักดิ์สยามชำระเงินค่าโอนหุ้น โดยนายศักดิ์สยามยังคงไว้ซึ่งหุ้นในบริษัทดังกล่าว



          ทั้งนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก วินิจฉัยว่า ความเป็นรัฐมนตรีของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ สิ้นสุดลงเฉพาะตัว ตาม รัฐธรรมนูญ ม.170 วรรค 1 อนุ 5 นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ วันที่ 3 มีนาคม 2566



 



อ่านฉบับเต็ม: https://www.constitutionalcourt.or.th/occ_web/download/article/article_20240117150657.pdf



#พ้นตำแหน่งรัฐมนตรี



 



 

ข่าวทั้งหมด

X