รมช.คลัง เสนอ ครม. 12 ธ.ค.แก้หนี้ SMEs เดือดร้อนจากโควิด

11 ธันวาคม 2566, 08:26น.


          นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า การดำเนินมาตรการพักหนี้ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโรคโควิด-19



          เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 ได้ประชุมกับคณะทำงานที่กระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดมาตรการพักหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งลูกหนี้กลุ่มดังกล่าวจะเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หากสามารถชำระได้ตามเงื่อนไข 3 เดือน จะได้รับการพักชำระเงินต้นและลดดอกเบี้ย 1% เป็นระยะเวลาหนึ่งปี กระทรวงการคลังจะนำเสนอมาตรการนี้เพื่อให้คณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาต่อไป



           ในการประชุม ครม.วันที่ 12 ธ.ค.66  กระทรวงการคลัง จะเสนอมาตรการแก้ปัญหาหนี้ในระบบเพิ่มเติมให้ที่ประชุมพิจารณา โดยประกอบด้วย 2 กลุ่ม ได้แก่



-การแก้หนี้ให้ลูกหนี้กลุ่มเอสเอ็มอี รหัส 21 ตามนิยามของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ที่อยู่ในส่วนของสถาบันการเงินของรัฐ



-การช่วยลูกหนี้รายย่อยที่เคยกู้สินเชื่อฉุกเฉินสู้ภัยโควิด 10,000 บาท จากธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่กลายเป็นหนี้เสียให้กลับมาเป็นหนี้ปกติ และไม่ติดเครดิตบูโรได้



           การช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มเอสเอ็มอี รหัส 21 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นลูกหนี้ที่จ่ายเงินปกติ ไม่มีประวัติผิดนัดชำระ แต่จากเหตุการณ์โควิดส่งผลให้ไม่สามารถใช้หนี้ได้ จะดูแลในส่วนที่เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งมีจำนวน 5-6 หมื่นราย คิดเป็น 99.5% ของลูกหนี้ทั้งหมดเอสเอ็มอี รหัส 21 โดยจะมีการพักชำระหนี้วงเงินไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย เป็นเวลา 1 ปี และลดดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษ ขณะที่ ลูกหนี้เอสเอ็มอี รหัส 21 ที่อยู่ในธนาคารพาณิชย์ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะแถลงรายละเอียดในวันที่ 12 ธ.ค.66



          ขณะที่ คนที่เป็นลูกหนี้ดีที่ผ่อนครบถ้วนก็จะได้รางวัล สิทธิพิเศษ เช่น ลดดอกเบี้ยพิเศษ หรือเพิ่มวงเงินกู้ ขณะเดียวกัน คนที่รัฐบาลช่วยมาจากเอ็นพีแอล ถึงแม้จะถูกช่วยแล้ว แต่การกลับมาขอสินเชื่อก็ต้องถูกพิจารณาในเกณฑ์ของธนาคารตามปกติ



           รายงานระบุว่า ในการแถลงมาตรการแก้หนี้ในระบบจะมีการแก้หนี้ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้กว่า 2-3 ล้านคน โดยจะมีการลดเบี้ยปรับจาก 7.5% เหลือ 0.5% การปรับลำดับการผ่อนหนี้ จากเดิมตัดเบี้ยปรับก่อน ตามด้วยดอกเบี้ย และเงินต้น มาเป็นตัดเงินต้นก่อนดอกเบี้ย และตามด้วยเบี้ย ซึ่งจะทำให้ตัดเงินต้นให้หมดอย่างรวดเร็ว รวมถึงคนผ่อนชำระเกินก็จะได้รับเงินคืนอีกด้วย นอกจากนี้ จะมีการเปิดให้ลูกหนี้ที่ถูกฟ้องบังคับคดี หรือขายทอดตลาดให้เข้ามาปรับโครงสร้างหนี้กับ กยศ.ได้



 



#แก้หนี้



CR:ขอบคุณภาพ ส.ส.จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์



 

ข่าวทั้งหมด

X