หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาส ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า นักลงทุนยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมาในช่วง 1 สัปดาห์แรก ผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัดเท่านั้น เนื่องจากอิสราเอลไม่ได้มีการผลิตน้ำมัน และปาเลสไตน์ไม่ได้มีผลิตทรัพยากรที่สำคัญ เหมือนความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน แต่หากลุกลามไปถึงประเทศอื่นๆโดยเฉพาะในกลุ่มอาหรับ และตะวันออกกลาง อาจจะส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมันได้ และมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไป
สัปดาห์ที่ 2 มองว่า จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสถานการณ์ ซึ่งจะต้องดูว่าจะมีการแทรกแซงของประเทศอื่นๆหรือไม่ และปฏิกิริยาของชาติอาหรับ ซึ่งหากหยุดแค่ในฉนวนกาซาก็จะไม่มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ เพราะอิสราเอลไม่ได้มีผลิตน้ำมัน และปาเลสไตน์ไม่ได้มีผลิตทรัพยากรที่สำคัญ เหมือนความขัดแย้งของรัสเซียและยูเครน
ตั้งแต่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาสตั้งแต่ 1 สัปดาห์ที่แล้วจะเห็นว่าราคาน้ำมัน WTI มีการขยับขึ้นมาบริเวณ 87 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากช่วงก่อนเกิดสถานการณ์ราคาน้ำมัน WTI อยู่ที่ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาทองคำปรับขึ้นมา 100 ดอลลาร์ต่อออนซ์
แต่ในเรื่องของเงินเฟ้อยังต้องจับตาดูว่าจะมีการลุกลามของสถานการณ์หรือไม่ หากลุกลามไปถึงประเทศอื่นๆโดยเฉพาะในกลุ่มอาหรับ และตะวันออกกลาง อาจจะส่งผลต่อทิศทางราคาน้ำมันได้ และมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อในระยะต่อไป
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนทิศทางของกระแสเงินทุนมองว่า ยังรอติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอยู่ อาจจะยากที่กระแสเงินทุนจะไหลเข้ามาในช่วงนี้ และรอจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลง เพราะยังไม่มีความแน่ชัดว่าระยะต่อไปจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น นักลงทุนยังรอดูสถานการณ์ จนกว่าสถานการณ์จะผ่านพ้นไป และมีชัดเจนออกมาเป็นรูปธรรมก่อนกลับมาตัดสินใจลงทุนอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี มองว่า หากในระยะยาวภูมิภาคอาเซียน อาจได้รับประโยชน์ในเรื่องเงินทุนไหลกลับมา เพราะเป็นภูมิภาคที่มีความสงบ ไม่มีสงคราม และความขัดแย้ง ต้องรักษาความเป็นกลาง ซึ่งจะเป็นโอกาสต่อประเทศไทยในระยะยาว ที่จะได้รับอานิสงส์ดังกล่าวไปด้วย "ประเทศไทยต้องหาแนวทางในการดึงศักยภาพของประเทศให้เกิดความน่าสนใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน และมีการสร้างจุดแข็งขึ้นมาเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศรอบข้างในอาเซียน"
#สภาธุรกิจตลาดทุนไทย
#FETCO
แฟ้มภาพ