แนวโน้มส่งออกไทยในปี 2567 นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินแนวโน้มการส่งออกไทย ปี 67 เชื่อสงครามอิสราเอลกระทบส่งออกไทยไม่มาก รวมถึงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงยืดเยื้อ แต่เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อไทยน้อยลง และไทยจะได้รับประโยชน์จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้น, ความขัดแย้งในทุกมิติระหว่างสหรัฐฯ - จีน ทั้งสงครามการค้า การแข่งขันด้านเทคโนโลยี และการแบ่งแยกห่วงโซ่อุปทาน
รวมทั้งล่าสุด สงครามระหว่างอิสราเอล-กลุ่มฮามาส ซึ่งเชื่อว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังอิสราเอลไม่มากนักที่ติดลบร้อยละ 0.1 ถึงติดลบร้อยละ 1.7 โดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจฯ ได้ประเมินผลกระทบที่จะมีต่อการส่งออกในภาพรวมของไทย จากสงครามอิสราเอลไว้ 3 กรณี ดังนี้
-กรณีสงครามยืดเยื้อ (โอกาสเกิดร้อยละ 30) ผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออก 370 ล้านดอลลาร์ ส่งออกหดตัวร้อยละ0.1
-กรณีสงครามยืดเยื้อจนปิดเส้นทางขนส่ง (โอกาสเกิดร้อยละ 10) ผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออก 850 ล้านดอลลาร์ ส่งออกหดตัวร้อยละ 0.3
-กรณีสงครามขยายวงกว้างทั่วตะวันออกกลาง (โอกาสเกิดน้อยกว่าร้อยละ 5) ผลกระทบต่อมูลค่าการส่งออก 4,770 ล้านดอลลาร์ ส่งออกหดตัวร้อยละ 1.7
นายพูนทวี ชัยวิจิตมลากูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วิเคราะห์แนวโน้มการส่งออกไทยในไตรมาส 4/66 ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ คาดว่า การส่งออกของไทยในไตรมาส 4 ปีนี้ จะสามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ที่ ร้อยละ 6.8 คิดเป็นมูลค่าราว 70,500 ล้านดอลลาร์ จากไตรมาส 3/66 ที่คาดว่าจะหดตัวร้อยละ 3.2 ขณะที่การส่งออกไทยทั้งปี 66 คาดว่าจะยังหดตัว ร้อยละ 2 ที่มูลค่าประมาณ 281,500 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ปัจจัยที่จะส่งผลให้การส่งออกไทยไตรมาส 4 ปีนี้ ขยายตัวได้ มาจาก 1.ฐานการส่งออกที่ต่ำของไตรมาส 4 ปี 65 2.แนวโน้มเงินบาทอ่อนค่า 3.เงินเฟ้อชะลอตัว 4.สินค้าเกษตรและอาหารส่งออกได้มากขึ้น จากประเด็นด้านความมั่นคงทางอาหาร 5.นโยบายผลักดันการส่งออกในช่วงโค้งสุดท้ายของปี โดยสินค้าส่งออกเด่นของไตรมาส 4/66 ได้แก่ ยานยนต์และส่วนประกอบ, อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์, ผลไม้, ข้าว เป็นต้น
อย่างไรก็ดี การส่งออกไทยในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า, อัตราดอกเบี้ยในประเทศคู่ค้ายังอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อการบริโภค การลงทุนทางธุรกิจที่ชะลอตัว ทำให้ภาคธุรกิจและครัวเรือนมีภาระหนี้เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 4 จากการลดกำลังการผลิตน้ำมันของกลุ่มโอเปก และความกังวลภาวะสงครามในอิสราเอล ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าช่วงไตรมาส 4 ราคาน้ำมันดิบจะอยู่ในช่วง 88-93 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้ ยังเผชิญปัญหาเอลนีโญ ที่มีผลกระทบต่อผลผลิตสินค้าเกษตรของไทย ที่อาจจะลดลงราวร้อยละ 2.2-6.5
อย่างไรก็ดี การส่งออกไทยในปี 67 ยังมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนสูงของเศรษฐกิจโลก ซึ่งทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้า จะชะลอตัวลงจากปี 66 โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะเติบโตได้ร้อยละ 2.9 จากปีนี้ที่ร้อยละ3 ส่วน OECD คาดว่าเศรษฐกิจโลกปีหน้าจะเติบโตได้ร้อยละ 2.7 จากปีนี้ที่ร้อยละ 3 โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงชะลอตัวจากปัญหาดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง และอัตราการว่างงานที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจจีน ยังถูกกดดันจากวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์ การบริโภคที่อ่อนแอ และภาคเอกชนยังไม่มั่นใจในการลงทุน
ตลอดจนปัจจัยเสี่ยงจากเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จากคาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ภายในปี 67 รวมทั้งรายได้ภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลให้เงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคาสินค้า, ราคาน้ำมันดิบที่สูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิต และราคาสินค้า
#เศรษฐกิจไทย