พุ่งสูงสุดในรอบปี น้ำมันโลกขึ้น 3% สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯลดลงมากกว่าคาด

28 กันยายน 2566, 05:39น.


            Reuters และ CNBC รายงานว่า น้ำมันในตลาดโลก ปิดตลาดวันที่ 27 ก.ย.66 พุ่งขึ้น 3% เนื่องจาก สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ทำให้เกิดความกังวลเรื่องปริมาณหรืออุปทานน้ำมัน เพิ่มความกังวลหลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ลดกำลังการผลิต



           ราคาน้ำมันขยับขึ้น 3% แตะระดับสูงสุดในรอบปี 2023



-สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนพ.ย.66 เพิ่มขึ้น 3.29 ดอลลาร์ ปิดที่ 93.68 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล



-เบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนพ.ย.66 เพิ่มขึ้น 2.59 ดอลลาร์ ปิดที่ 96.55 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

           ข้อมูลของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ลดลง 2.1 ล้านบาร์เรล เหลือ 416.3 ล้านบาร์เรล เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในการสำรวจของรอยเตอร์ว่าจะลดลง 320,000 บาร์เรล



           EIA ยังเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคูชิง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้าของสหรัฐฯ ลดลง 943,000 บาร์เรล เหลือแค่ไม่ถึง 22 ล้านบาร์เรล ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.ปีที่แล้ว สต็อกน้ำมันที่เมืองคูชิง ลดลงเข้าใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจาก ความต้องการการกลั่นและการส่งออกที่แข็งแกร่ง ทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของน้ำมันที่เหลืออยู่ที่ศูนย์กลาง และอาจลดลงต่ำกว่าระดับการปฏิบัติงานขั้นต่ำ



           Ole Hansen หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ Saxo Bank กล่าวว่า การเบิกจ่ายน้ำมันดิบในสหรัฐฯ เกิดขึ้นเมื่อซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม OPEC+ ขยายเวลาการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันจนถึงสิ้นปี ทำให้มีความกังวลเพิ่มขึ้น เนื่องจากในช่วงหน้าหนาวที่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ตลาดพลังงานทั่วโลกมีความตึงตัว จนกว่าจะมีการตัดสินใจเพิ่มกำลังการผลิต



           ขณะที่ รัสเซีย ผ่อนปรนมาตรการแบนส่งออกเบนซินและดีเซล ขณะเดียวกันก็ยกเว้นน้ำมันเตาที่นิยมใช้เป็นเชื้อเพลิงของเรือ และดีเซลกำมะถันสูง อย่างไรก็ตาม ในคำสั่งแบนนี้ ยังคงมีผลบังคับใช้กับดีเซลและเบนซินคุณภาพสูง



 



#น้ำมันโลกพุ่ง



#สต็อกลดลง



#สหรัฐฯ



แฟ้มภาพ 



CR:Reuters,CNBC

ข่าวทั้งหมด

X